๒)อาตมาภาพขอถวายวิสัชนา
"ลูกอ่อนอย่าอุ้มรัด"
แลลูกอ่อนนั้นคือญาติวงศา
มีบิดามารดาแลบุตรธิดาเปนอาทินั้น
เหตุว่าบุคคลผู้มีปัญญา
แลเปนอริยสัปบุรุษนั้น
ก็ย่อมเปนอุปการรักษาซึ่งญาติวงษา
แห่งอาตมาดุจบิดามารดา
อันเปนอุปการรักษากุมาร
กุมาริกาอันเปนบุตรธิดา
แห่งอาตมาภาพนั้น
ซึ่งว่าอย่าอุ้มรัดนั้น
คือว่าให้อุ้มแต่ว่า
อย่าให้รัดเข้าให้ติดอาตมา
เหตุว่ากิริยาอันอุ้มนี้มีสองประการคือ
อุ้มแต่พอหมั้นและมิให้รัดเข้า
ให้ติดอาตมาประการหนึ่ง
อุ้มและรัดเข้าให้ติดอาตมาประการหนึ่ง
อุ้มเปนสองประการดังนี้
ซึ่งว่าอุ้มนั้นเปนอุปการรักษา
ซึ่งว่ารัดเข้าให้ติดอาตมานั้น
คือตัณหาอุปาทานเสน่หา
อันปรารถนาถือหมั้นด้วยความรักนั้นแล
ซึ่งว่าอุ้มแลมิให้รัดเข้าให้ติดอาตมานั้น
คือเปนแต่อุปการรักษา
แลหาตัณหาอุปาทานเสน่หามิได้นั้นแล
อันว่าบุคคลผู้เปนปุถุชนหาปัญญามิได้นั้น
ก็เปนอุปการรักษาญาติวงษาด้วยตัณหา
อุปาทานเสน่หาอันปรารถนาว่า
ญาติวงษาทั้งหลายนี้
เปนที่พึ่งที่พำนักแก่อาตมาเที่ยงแท้
ก็ถือหมั้นด้วยความรักว่า
ญาติวงษาทั้งหลายนี้
เปนของอาตมาเที่ยงแท้
มีอุปมาดังบุคคลอันอุ้มลูกอ่อน
แลรัดเข้าให้ติดอาตมานั้นแล
อันว่าบุคคลผู้มีปัญญา
แลพิจารณาเห็นสังขารธรรมทั้งปวง
คืออาตมาเองนั้นก็ดี
ญาติวงษาทั้งหลายนั้นก็ดี
ก็ย่อมเปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แลบุคคลผู้มีปัญญานั้น
ก็เปนอุปการรักษาญาติวงษาทั้งหลาย
แต่ตามประเวณีอันมี
เมตตาจิตรเปนบุพพภาค
แลตัณหาอุปาทานเสน่หามิได้นั้น
ก็มีอุปมาดังบุคคลอันอุ้มลูกอ่อน
แลมิให้รัดเข้าให้ติดอาตมานั้นแล
อันว่าบุคคลผู้มีปัญญาพิจารณาเห็นดังนี้
เหตุบุคคลผู้นั้นได้ฟังธรรมเทศนาดังนี้ฯ
อันว่าโศกาอาดูรก็ดี ก็บังเกิดแต่ความรัก
อันว่าไภยก็ดี ก็บังเกิดแต่ความรัก
อันว่าโศกก็ดีอันว่าไภยก็ดี
ก็มิได้บังเกิดแต่สถานที่ใดที่หนึ่ง
แต่บุคคลผู้หาความรัก
มิได้แลพ้นจากความรักนั้นแล้วแล
อันว่าบุคคลผู้มีปัญญา
แลเปนอุปการอนุเคราะห์ญาติวงษา
แลตัณหาอุปาทานเสน่หามิได้นั้น
แม้นแลญาติวงษาบังเกิดไภย
อันตรายพินาศฉิบหายชีวิตรก็ดี
บุคคลผู้มีปัญญานั้น
ก็มิได้บังเกิดทุกข์โทมนัศ
โศกาดูรอันยิ่งนั้นแล
อันว่าบุคคลผู้มิได้สดับฟังธรรมเทศนา
แลหาปัญญามิได้นั้น
เปนอุปการอนุเคราะห์ญาติวงษา
ด้วยตัณหาอุปาทานเสน่หานั้น
ครั้นแลญาติวงษาบังเกิดไภยอันตราย
พินาศฉิบหายชีวิตรก็ดี
บุคคลผู้หาปัญญามิได้นั้น
ก็บังเกิดทุกข์โทมนัศโศกาดูรยิ่งนักหนา
เหตุบุคคลผู้นั้นได้ฟังธรรมเทศนาดังนี้ฯ
อันว่าโศกาอาดูรก็ดี ก็บังเกิดแต่ความรัก
อันว่าไภยก็ดี ก็บังเกิดแต่ความรัก
อันว่าโศกก็ดีอันว่าไภยก็ดี
ก็มิได้บังเกิดแต่สถานที่ใดที่หนึ่ง
แต่บุคคลผู้หาความรัก
มิได้แลพ้นจากความรักนั้นแล้วแล
อันว่าบุคคลผู้มีปัญญา
แลเปนอุปการอนุเคราะห์ญาติวงษา
แลตัณหาอุปาทานเสน่หามิได้นั้น
แม้นแลญาติวงษาบังเกิดไภย
อันตรายพินาศฉิบหายชีวิตรก็ดี
บุคคลผู้มีปัญญานั้น
ก็มิได้บังเกิดทุกข์โทมนัศ
โศกาดูรอันยิ่งนั้นแล
อันว่าบุคคลผู้มิได้สดับฟังธรรมเทศนา
แลหาปัญญามิได้นั้น
เปนอุปการอนุเคราะห์ญาติวงษา
ด้วยตัณหาอุปาทานเสน่หานั้น
ครั้นแลญาติวงษาบังเกิดไภยอันตราย
พินาศฉิบหายชีวิตรก็ดี
บุคคลผู้หาปัญญามิได้นั้น
ก็บังเกิดทุกข์โทมนัศโศกาดูรยิ่งนักหนา
ดุจธิดาเศรษฐีคนหนึ่ง อันมีครรภ์แก่แล้ว
แลจะเข้าไปหาบิดามารดาในเมืองสาวัตถี
ก็ไปด้วยกับสามีแลทารกอันเปนบุตรนั้น
ครั้นไปถึงท่ามกลางมรรคาก็จะคลอดบุตรนั้น
แลบุรุษผู้เปนสามีนั้นถือพร้าเข้าไปในสุมทุม
จะตัดเอาใบไม้มาทำร่มแก่บุตรภรรยา
แลงูอสรพิษตัวหนึ่งออกมาแต่จอมปลวก
ก็ตอดเอาบุรุษผู้นั้น ๆก็ล้มลง
ถึงแก่มรณไภยในที่นั้นแล
แลจะเข้าไปหาบิดามารดาในเมืองสาวัตถี
ก็ไปด้วยกับสามีแลทารกอันเปนบุตรนั้น
ครั้นไปถึงท่ามกลางมรรคาก็จะคลอดบุตรนั้น
แลบุรุษผู้เปนสามีนั้นถือพร้าเข้าไปในสุมทุม
จะตัดเอาใบไม้มาทำร่มแก่บุตรภรรยา
แลงูอสรพิษตัวหนึ่งออกมาแต่จอมปลวก
ก็ตอดเอาบุรุษผู้นั้น ๆก็ล้มลง
ถึงแก่มรณไภยในที่นั้นแล
เศรษฐีธิดาก็คลอดทารกออก ณ ที่นั้น
เพลาเปนอันค่ำ
ลมพายุแลฝนก็ตกลงในราตรีนั้น
แลเศรษฐีธิดานั้น
จึงเอาทารกทั้งสองนอนไว้ใต้อก
ก็ครอบทารกทั้งสองนั้นไว้ยังรุ่ง
ครั้นรุ่งเช้าเศรษฐีธิดานั้น
เลงเห็นสามีล้มตายอยู่
ก็บังเกิดโศกาดูรร้องไห้ร่ำไปมา
เพลาเปนอันค่ำ
ลมพายุแลฝนก็ตกลงในราตรีนั้น
แลเศรษฐีธิดานั้น
จึงเอาทารกทั้งสองนอนไว้ใต้อก
ก็ครอบทารกทั้งสองนั้นไว้ยังรุ่ง
ครั้นรุ่งเช้าเศรษฐีธิดานั้น
เลงเห็นสามีล้มตายอยู่
ก็บังเกิดโศกาดูรร้องไห้ร่ำไปมา
จึงอุ้มทารกอันประสูติใหม่
แลมีพรรณดังชิ้นเนื้อนั้น
แลจูงมือทารกผู้รู้เดินนั้นไ
ปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง
จึงให้ทารกผู้ใหญ่นั้นนั่งอยู่ ณ ริมฝั่ง
แล้วก็อุ้มทารกอันประสูติใหม่
นั้นข้ามแม่น้ำไป
ถึงฝั่งฟากข้างโพ้น แลเอาใบไม้ปูลง
แล้งจึงวางทารกนั้นให้นอนเหนือใบไม้
แล้วก็กลับไปรับเอาบุตรผู้ใหญ่นั้นมา
ครั้นไปถึงกลางแม่น้ำจึงเหยี่ยวตัวหนึ่งบินมาในอากาศ
เลงเห็นทารกอันนอนเหนือใบไม้นั้น
ก็สำคัญว่าชิ้นเนื้อ
ก็ฉาบลงคาบทารกนั้น
แลเศรษฐีธิดาเลงเห็น
ก็ชูมือทั้งสองขึ้นแกว่ง
แล้วก็ร้องตวาดเหยี่ยวนั้น
ทารกผู้ใหญ่อันอยู่ริมฝั่ง
ข้างหนึ่งนั้นก็สำคัญว่ามารดาเรียก
ก็แล่นลงไปในแม่น้ำนั้น
น้ำก็พัดเอาทารกนั้นไป
แลมีพรรณดังชิ้นเนื้อนั้น
แลจูงมือทารกผู้รู้เดินนั้นไ
ปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง
จึงให้ทารกผู้ใหญ่นั้นนั่งอยู่ ณ ริมฝั่ง
แล้วก็อุ้มทารกอันประสูติใหม่
นั้นข้ามแม่น้ำไป
ถึงฝั่งฟากข้างโพ้น แลเอาใบไม้ปูลง
แล้งจึงวางทารกนั้นให้นอนเหนือใบไม้
แล้วก็กลับไปรับเอาบุตรผู้ใหญ่นั้นมา
ครั้นไปถึงกลางแม่น้ำจึงเหยี่ยวตัวหนึ่งบินมาในอากาศ
เลงเห็นทารกอันนอนเหนือใบไม้นั้น
ก็สำคัญว่าชิ้นเนื้อ
ก็ฉาบลงคาบทารกนั้น
แลเศรษฐีธิดาเลงเห็น
ก็ชูมือทั้งสองขึ้นแกว่ง
แล้วก็ร้องตวาดเหยี่ยวนั้น
ทารกผู้ใหญ่อันอยู่ริมฝั่ง
ข้างหนึ่งนั้นก็สำคัญว่ามารดาเรียก
ก็แล่นลงไปในแม่น้ำนั้น
น้ำก็พัดเอาทารกนั้นไป
แลเศรษฐีธิดาผู้นั้นก็บังเกิด
ความทุกข์โศกาดูรยิ่งนักหนา
ก็ร้องไห้ร่ำไรไปมาว่า
ลูกน้อยนี้เหยี่ยวก็พาไป
แลลูกใหญ่ก็จมลงในนที
สามีงูก็ขบตายแล้ว
เศรษฐีธิดาผู้นั้นเดินมา
เลงเห็นบุรุษผู้หนึ่ง
จึงถามบุรุษผู้นั้นว่า
ความทุกข์โศกาดูรยิ่งนักหนา
ก็ร้องไห้ร่ำไรไปมาว่า
ลูกน้อยนี้เหยี่ยวก็พาไป
แลลูกใหญ่ก็จมลงในนที
สามีงูก็ขบตายแล้ว
เศรษฐีธิดาผู้นั้นเดินมา
เลงเห็นบุรุษผู้หนึ่ง
จึงถามบุรุษผู้นั้นว่า
ท่านรู้จักตระกูลเศรษฐีอันมีชื่อโพ้น
อันอยู่ในเมืองสาวัตถีนั้นแลฤา
บุรุษผู้นั้นจึงบอกว่าฝนตกคืนนี้
ลมพายุพัดเรือนมหาเศรษฐีนั้นหักทำลายลง
ทับมหาเศรษฐีแลภรรยาแลลูกชาย
ตายทั้งสามคนในกลางคืนนี้แล้ว
แลคนทั้งหลายเขาเอาไปเผา
ในเชิงตะกอนเดียว
ด้วยกันทั้งสามคนนั้นแล
อันอยู่ในเมืองสาวัตถีนั้นแลฤา
บุรุษผู้นั้นจึงบอกว่าฝนตกคืนนี้
ลมพายุพัดเรือนมหาเศรษฐีนั้นหักทำลายลง
ทับมหาเศรษฐีแลภรรยาแลลูกชาย
ตายทั้งสามคนในกลางคืนนี้แล้ว
แลคนทั้งหลายเขาเอาไปเผา
ในเชิงตะกอนเดียว
ด้วยกันทั้งสามคนนั้นแล
เศรษฐีธิดาผู้นั้นได้ฟัง
ถ้อยคำบุรุษนั้นบอก
ก็บังเกิดทุกขเวทนานักหนา
หาสติสมปดีมิได้
แลผ้านุ่งผ้าห่ม
ตกออกจากกายอาตมาก็ไม่รู้ตัว
ก็ถึงซึ่งสภาวเปนบ้าก็ร่ำร้องไห้
แล่นไปถึงพระเชตุพนมหาวิหาร
คนทั้งหลายก็ห้ามมิให้เข้าไป
จึงสมเด็จพระสรรเพ็ชพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า
เศรษฐีธิดานั้นมีสมภาร
ได้บำเพ็ญมาบริบูรณ์แล้ว
แลจะถึงพระอรหรรต์ในชาตินั้น
ถ้อยคำบุรุษนั้นบอก
ก็บังเกิดทุกขเวทนานักหนา
หาสติสมปดีมิได้
แลผ้านุ่งผ้าห่ม
ตกออกจากกายอาตมาก็ไม่รู้ตัว
ก็ถึงซึ่งสภาวเปนบ้าก็ร่ำร้องไห้
แล่นไปถึงพระเชตุพนมหาวิหาร
คนทั้งหลายก็ห้ามมิให้เข้าไป
จึงสมเด็จพระสรรเพ็ชพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า
เศรษฐีธิดานั้นมีสมภาร
ได้บำเพ็ญมาบริบูรณ์แล้ว
แลจะถึงพระอรหรรต์ในชาตินั้น
จึงมีพุทธฏีกาตรัสว่า
ท่านทั้งหลายอย่าห้ามเลยให้เข้ามาเถิด
ครั้นเศรษฐีธิดาเข้าไปใกล้
จึงมีพุทธฏีกาตรัสว่า
ดูกรภคินี ท่านจงได้สมปดีเถิด
เศรษฐีธิดานั้น
ครั้นได้ยินพระสุรเสียง
นางก็ได้สติสมปดี
ด้วยอานุภาพ
สมเด็จพระสรรเพ็ชพุทธเจ้าในขณะนั้น
จึงรู้ว่าผ้าห่มตกจากกายเสียสิ้นแล้วก้นั่งลง
ท่านทั้งหลายอย่าห้ามเลยให้เข้ามาเถิด
ครั้นเศรษฐีธิดาเข้าไปใกล้
จึงมีพุทธฏีกาตรัสว่า
ดูกรภคินี ท่านจงได้สมปดีเถิด
เศรษฐีธิดานั้น
ครั้นได้ยินพระสุรเสียง
นางก็ได้สติสมปดี
ด้วยอานุภาพ
สมเด็จพระสรรเพ็ชพุทธเจ้าในขณะนั้น
จึงรู้ว่าผ้าห่มตกจากกายเสียสิ้นแล้วก้นั่งลง
จึ่งบุรุษผู้หนึ่งก็เปลื้องผ้าห่มของอาตมา
ออกซัดให้แก่เศรษฐีธิดา ๆก็นุ่งผ้านั้นเข้าแล้ว
ก็ไปกราบนมัสการสมเด็จพระพุทธเจ้า
แล้วก็กราบทูลว่า
ลูกข้าพระเจ้าคนหนึ่งเหยี่ยวก็คาบไป
ลูกข้าพระเจ้าคนหนึ่งน้ำก็พาเอาไป
สามีของข้าพระเจ้าอสรพิษก็ขบกัดตาย
บิดามารดาแลพี่ชาย
ข้าพระเจ้าเรือนก็หักทับตายสิ้นแล้ว
ข้าพระเจ้าหาที่พึ่งที่พำนักมิได้
ขอพระพุทธเจ้า
จงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระเจ้าด้วยเถิด
ออกซัดให้แก่เศรษฐีธิดา ๆก็นุ่งผ้านั้นเข้าแล้ว
ก็ไปกราบนมัสการสมเด็จพระพุทธเจ้า
แล้วก็กราบทูลว่า
ลูกข้าพระเจ้าคนหนึ่งเหยี่ยวก็คาบไป
ลูกข้าพระเจ้าคนหนึ่งน้ำก็พาเอาไป
สามีของข้าพระเจ้าอสรพิษก็ขบกัดตาย
บิดามารดาแลพี่ชาย
ข้าพระเจ้าเรือนก็หักทับตายสิ้นแล้ว
ข้าพระเจ้าหาที่พึ่งที่พำนักมิได้
ขอพระพุทธเจ้า
จงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระเจ้าด้วยเถิด
สมเด็จพระสรรเพ็ชพุทธเจ้า
จึงมีพุทธฏีกาตรัสว่า
ดูกร ปติจฉรา แปลว่าท่านผู้มีอาจาระ
คือหิริโอตัปปอันตัดเสีย
เหตุว่าผ้านุ่งผ้าห่มนั้น
ปราศจากอาตมาจึงเรียกปติจฉรา
อันว่าบุคคลผู้อื่นมิอาจเปนที่พึ่งแก่ท่านได้
แต่ตถาคตผู้เดียวนี้
จะบังเกิดเปนที่พึ่งแก่ท่านฯ
จงตั้งใจฟังธรรมเทศนา
ของพระตถาคตนี้เถิด
สมเด็จพระสรรเพ็ชพุทธเจ้า
จึงตรัสเทศนาดังนี้ฯ
จึงมีพุทธฏีกาตรัสว่า
ดูกร ปติจฉรา แปลว่าท่านผู้มีอาจาระ
คือหิริโอตัปปอันตัดเสีย
เหตุว่าผ้านุ่งผ้าห่มนั้น
ปราศจากอาตมาจึงเรียกปติจฉรา
อันว่าบุคคลผู้อื่นมิอาจเปนที่พึ่งแก่ท่านได้
แต่ตถาคตผู้เดียวนี้
จะบังเกิดเปนที่พึ่งแก่ท่านฯ
จงตั้งใจฟังธรรมเทศนา
ของพระตถาคตนี้เถิด
สมเด็จพระสรรเพ็ชพุทธเจ้า
จึงตรัสเทศนาดังนี้ฯ
ดูกรนางปติจฉรา
อันว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่นั้น
มีเปนอันน้อย
อันว่าน้ำตาแห่งบุคคลผู้หนึ่ง
อันเที่ยวตายเที่ยวเกิด
อยู่ในวัฏสงสารสิ้นกาลช้านาน
จะนับมิได้นั้น
อันทุกข์โศกาดูรมาถูกต้อง
แลร้องไห้ในการเมื่อญาติกา
ทั้งหลายมีอาทิคือ
บุตรธิดาพินาศฉิบหายล้มตายนั้น
แลน้ำตาแห่งบุคคลผู้หนึ่งนั้นก็เปนอันมาก
ยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่นั้น
ดังฤๅท่านจะประมาทอยู่ด้วยรักญาติกาทั้งปวง
ท่านจะได้เสวยทุกขเวทนาเห็นปานดังนี้
สืบไปในวัฏสงสารนั้นเล่า
แลในเมื่อสมเด็จพระสรรเพ็ชพุทธเจ้
าตรัสเทศนาดังนี้
อันว่าความโศกใน
ตัวแห่งนางปติจฉรานั้นก็น้อยลง
สมเด็จพระสรรเพ็ชพุทธเจ้า
รู้ว่าความโศกน้อยลงแล้ว
จึงตรัสเทศนาดังนี้ฯ
อันว่าบุตรธิดาทั้งหลายก็ดี
อันว่าบิดามารดาทั้งหลายก็ดี
อันว่าญาติวงษาทั้งหลายก็ดี
ก็มิได้เพื่อจะเปนที่พึ่ง
แก่บุคคลอันมัจจุราชหากครอบงำนั้น
เมาะว่าบุตรธิดาแลญาติกาจะเปนที่พึ่ง
คือจะให้เข้าน้ำโภชนาหาร
และจะช่วยเปนอุปการ
กระทำกิจการทั้งปวงได้
ก็แต่ยังมีชีวิตรอยู่นี้
แลเมื่อมัจจุราชมาถึงแล้วนั้น
ญาติวงษาทั้งหลายนั้น
มิอาจเพื่อจะเปนที่พึ่ง
และจะห้ามมัจจุราช
ด้วยอุบายอันใดอันหนึ่งหามิได้
อันว่าบุคคลผู้มีปัญญา
รู้ว่าญาติทั้งปวงมิได้
เปนที่พึ่งแก่อาตมาแล้วดังนี้
ก็พึงตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีลสังวร
แล้วพึงชำระพระอัฏฐังคิกมรรคธรรม
อันกอประด้วยองค์แปดประการ
อันเปนทางนฤพานนั้นจงฉับพลัน
ครั้งท่านชำระ
พระอัฏฐังคิกมรรคธรรมบริสุทธิ์แล้ว
ท่านก็ถึงนิพพานแล้ว
ท่านก็จะพ้นจากทุกข์โทมนัศ
โศกาทั้งปวงนี้แล
อันว่าบิดามารดาทั้งหลายก็ดี
อันว่าญาติวงษาทั้งหลายก็ดี
ก็มิได้เพื่อจะเปนที่พึ่ง
แก่บุคคลอันมัจจุราชหากครอบงำนั้น
เมาะว่าบุตรธิดาแลญาติกาจะเปนที่พึ่ง
คือจะให้เข้าน้ำโภชนาหาร
และจะช่วยเปนอุปการ
กระทำกิจการทั้งปวงได้
ก็แต่ยังมีชีวิตรอยู่นี้
แลเมื่อมัจจุราชมาถึงแล้วนั้น
ญาติวงษาทั้งหลายนั้น
มิอาจเพื่อจะเปนที่พึ่ง
และจะห้ามมัจจุราช
ด้วยอุบายอันใดอันหนึ่งหามิได้
อันว่าบุคคลผู้มีปัญญา
รู้ว่าญาติทั้งปวงมิได้
เปนที่พึ่งแก่อาตมาแล้วดังนี้
ก็พึงตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีลสังวร
แล้วพึงชำระพระอัฏฐังคิกมรรคธรรม
อันกอประด้วยองค์แปดประการ
อันเปนทางนฤพานนั้นจงฉับพลัน
ครั้งท่านชำระ
พระอัฏฐังคิกมรรคธรรมบริสุทธิ์แล้ว
ท่านก็ถึงนิพพานแล้ว
ท่านก็จะพ้นจากทุกข์โทมนัศ
โศกาทั้งปวงนี้แล
อธิบายว่าท่านปรารถนาให้พ้นจากทุกข์
ท่านจงชำระสัมมาทิฏฐิคือ
ปัญญาอันพิจารณาให้เห็นแจ้ง
ในอริยสัจ ๔ ดังนี้
อันว่าปัจขันธ์อันเปน
ที่บังเกิดทุกข์ทั้งปวงนี้ ชื่อทุกขอริยสัจ
อันว่าตัณหาอันปรารถนา
จะให้บังเกิดปัญจขันธ์สืบไป
นั้นชื่อสมุทยอริยสัจ
อันว่าตัณหาดับบมิได้บังเกิดสืบไป
ชื่อนิโรธอริยสัจ
อันว่าประฏิบัติเพื่อจะให้ตัณหา
อันชื่อสมุทยสัจดับ
แลมิให้บังเกิดสืบไปกว่านั้น
ปฏิบัตินั้นชื่อมรรคอริยสัจ
แลปัญญาอันรู้จักอริยสัจทั้ง ๔
ดังนี้ชื่อสัมมาทฏฐิ
อันว่าสักกายทิฏฐิอันถือว่าปัญจขันธ์นี้
เปนตัวเปนตนเปนอหังมมัง
ดังนี้ชื่อมิจฉาทิฏฐิ
ท่านจงชำระสัมมาทิฏฐิคือ
ปัญญาอันพิจารณาให้เห็นแจ้ง
ในอริยสัจ ๔ ดังนี้
อันว่าปัจขันธ์อันเปน
ที่บังเกิดทุกข์ทั้งปวงนี้ ชื่อทุกขอริยสัจ
อันว่าตัณหาอันปรารถนา
จะให้บังเกิดปัญจขันธ์สืบไป
นั้นชื่อสมุทยอริยสัจ
อันว่าตัณหาดับบมิได้บังเกิดสืบไป
ชื่อนิโรธอริยสัจ
อันว่าประฏิบัติเพื่อจะให้ตัณหา
อันชื่อสมุทยสัจดับ
แลมิให้บังเกิดสืบไปกว่านั้น
ปฏิบัตินั้นชื่อมรรคอริยสัจ
แลปัญญาอันรู้จักอริยสัจทั้ง ๔
ดังนี้ชื่อสัมมาทฏฐิ
อันว่าสักกายทิฏฐิอันถือว่าปัญจขันธ์นี้
เปนตัวเปนตนเปนอหังมมัง
ดังนี้ชื่อมิจฉาทิฏฐิ
แลท่านจงชำระสัมมาทิฏฐิ
อันเลงเห็นปัญจขันํ์ว่า
เปนกองทุกข์สิ่งเดียวเที่ยงแท้
หาตัวหาตนหาอหังมมัง
มิได้ในปัญจขันธ์นี้
ครั้นท่านชำระสัมมาทิฏฐินี้ให้บริสุทธิ์
มิให้มิจฉาทิฏฐิบังเกิดได้กว่านั้น
ก็ได้ชื่อว่าชำระองค์มรรคอันเปนประถม
เปนทางพระนฤพานประการหนึ่งแล
ท่านจงชำระสัมมาสังกัปปะให้บริสุทธิ์
อย่าให้มีมิจฉากัปปะบังเกิดได้
ท่านจงชำระสัมมาวาจาให้บริสุทธิ์
อย่าให้มีมิจฉาวาจาบังเกิดได้
ท่านจงชำระสัมมากัมมันโตให้บริสุทธิ์
อย่าให้มีมิจฉากัมมันโตบังเกิดได้
ท่านจงชำระสัมาอาชีโวให้บริสุทธิ์
อย่าให้มิจฉาอาชีโวบังเกิดได้
ท่านจงชำระสัมมาวายาโมให้บริสุทธิ์
อย่าให้มิจฉาวายาโมบังเกิดได้
ท่านจงชำระสัมมาสติให้บริสุทธิ์
อย่าให้มิจฉาสติบังเกิดได้
ท่านจงชำระสัมมาสมาธิให้บริสุทธิ์
อย่าให้มิจฉาสมาธิบังเกิดได้
ครั้นชำระธรรม ๘ ประการ
อันเปนองค์อริยมรรค
ให้บริสุทธิ์ดังนี้แล้วในกาลเมื่อใด
ท่านจะถึงนิพพานพ้นจาก
สังสารทุกข์ทั้งปวงในกาลเมื่อนั้น
เปนอันเที่ยงแล
อันเลงเห็นปัญจขันํ์ว่า
เปนกองทุกข์สิ่งเดียวเที่ยงแท้
หาตัวหาตนหาอหังมมัง
มิได้ในปัญจขันธ์นี้
ครั้นท่านชำระสัมมาทิฏฐินี้ให้บริสุทธิ์
มิให้มิจฉาทิฏฐิบังเกิดได้กว่านั้น
ก็ได้ชื่อว่าชำระองค์มรรคอันเปนประถม
เปนทางพระนฤพานประการหนึ่งแล
ท่านจงชำระสัมมาสังกัปปะให้บริสุทธิ์
อย่าให้มีมิจฉากัปปะบังเกิดได้
ท่านจงชำระสัมมาวาจาให้บริสุทธิ์
อย่าให้มีมิจฉาวาจาบังเกิดได้
ท่านจงชำระสัมมากัมมันโตให้บริสุทธิ์
อย่าให้มีมิจฉากัมมันโตบังเกิดได้
ท่านจงชำระสัมาอาชีโวให้บริสุทธิ์
อย่าให้มิจฉาอาชีโวบังเกิดได้
ท่านจงชำระสัมมาวายาโมให้บริสุทธิ์
อย่าให้มิจฉาวายาโมบังเกิดได้
ท่านจงชำระสัมมาสติให้บริสุทธิ์
อย่าให้มิจฉาสติบังเกิดได้
ท่านจงชำระสัมมาสมาธิให้บริสุทธิ์
อย่าให้มิจฉาสมาธิบังเกิดได้
ครั้นชำระธรรม ๘ ประการ
อันเปนองค์อริยมรรค
ให้บริสุทธิ์ดังนี้แล้วในกาลเมื่อใด
ท่านจะถึงนิพพานพ้นจาก
สังสารทุกข์ทั้งปวงในกาลเมื่อนั้น
เปนอันเที่ยงแล
นางปติจฉาตั้งสมาธิจิตร
ฟังพระธรรมเทศนานี้
ก็หยั่งปัญญาไปตามกระแสพระธรรมเทศนา
ก็พิจารณาเห็นแจ้งว่า
ทุกข์ทั้งปวงนี้บังเกิดแต่กิเลศธรรม
อันมีตัณหาเปนมูลนั้นเที่ยงแท้
นางปติจฉรานั้น
ก็เผากิเลสธรรมอันมูลแห่งทุกข์อันมาก
ดุจเมล็ดฝุ่นในแผ่นดินทั้งปวงนั้น
ให้ไหม้พินาศไปด้วยเพลิง
คือโสดามรรคญาณแล้ว
ก็ประดิษฐานอยู่ในโสดาปัตติผลนั้น
แล้วจึงขอบวชเปนภิกษุณีในพระพุทธศาสนา
ฟังพระธรรมเทศนานี้
ก็หยั่งปัญญาไปตามกระแสพระธรรมเทศนา
ก็พิจารณาเห็นแจ้งว่า
ทุกข์ทั้งปวงนี้บังเกิดแต่กิเลศธรรม
อันมีตัณหาเปนมูลนั้นเที่ยงแท้
นางปติจฉรานั้น
ก็เผากิเลสธรรมอันมูลแห่งทุกข์อันมาก
ดุจเมล็ดฝุ่นในแผ่นดินทั้งปวงนั้น
ให้ไหม้พินาศไปด้วยเพลิง
คือโสดามรรคญาณแล้ว
ก็ประดิษฐานอยู่ในโสดาปัตติผลนั้น
แล้วจึงขอบวชเปนภิกษุณีในพระพุทธศาสนา
ก็ปรากฏชื่อว่าปติจฉราภิกษุณี
แลเมื่อนางตักน้ำล้างเท้า
ในกาลเมื่อวันหนึ่งนั้น
ก็เลงเห็นน้ำอันรดลงก่อนนั้น
ครั้นรดลงก็ทราบหายไป
แลน้ำอันรดลงเปนคำรบสองนั้น
ครั้นรดลงก็ไหลไปกว่าหน่อยหนึ่ง
แล้วก็ทราบหายไป
น้ำอันรดลงเปนคำรบสามนั้น
ก็ไหลไปมากกว่าก่อนนั้นหน่อยหนึ่ง
แล้วก็ทราบหายไป
ก็บังเกิดอุทยวยปัญญา
พิจารณาเห็นว่าสัตว์ทั้งหลาย
อันตายในปถมไวยนั้น
ดุจน้ำอันรดลงก่อนนั้น
สัตว์ทั้งหลายอันตายในมัชฌิมไวยนั้น
ดุจน้ำอันรดลงเปนคำรบ ๒ นั้น
สัตว์ทั้งหลายอันตายในปัจฉิมไวยนั้น
ดุจน้ำอันรดลงเปนคำรบ ๓ นั้นแลฯ
แลเมื่อนางตักน้ำล้างเท้า
ในกาลเมื่อวันหนึ่งนั้น
ก็เลงเห็นน้ำอันรดลงก่อนนั้น
ครั้นรดลงก็ทราบหายไป
แลน้ำอันรดลงเปนคำรบสองนั้น
ครั้นรดลงก็ไหลไปกว่าหน่อยหนึ่ง
แล้วก็ทราบหายไป
น้ำอันรดลงเปนคำรบสามนั้น
ก็ไหลไปมากกว่าก่อนนั้นหน่อยหนึ่ง
แล้วก็ทราบหายไป
ก็บังเกิดอุทยวยปัญญา
พิจารณาเห็นว่าสัตว์ทั้งหลาย
อันตายในปถมไวยนั้น
ดุจน้ำอันรดลงก่อนนั้น
สัตว์ทั้งหลายอันตายในมัชฌิมไวยนั้น
ดุจน้ำอันรดลงเปนคำรบ ๒ นั้น
สัตว์ทั้งหลายอันตายในปัจฉิมไวยนั้น
ดุจน้ำอันรดลงเปนคำรบ ๓ นั้นแลฯ
จึงสมเด็จพระสรรเพ็ชพุทธเจ้า
เสด็จอยู่ในพระคันธกุฏิ
เปล่งพระรัศมีโอภาสไปให้เห็น
ดุจเสด็จอยู่ในที่เฉพาะหน้า
แห่งนางปติจฉราภิกษุณีนั้น
ก็ตรัสพระธรรมเทศนานี้ฯ
อันว่าผู้บุคคลผู้ใดมีอายุสม์
ได้ ๑๐๐ ปีแลมิได้เล็งเห็น
อันเกิดแลดับแห่งปัจขันธ์นี้
ชีวิตรได้ ๑๐๐ ปีนั้น มิได้ประเสริฐ
อันว่าบุคคลผู้ใดมีอายุสม์แต่วันเดียว
แลเล็งเห็นซึ่งอันเกิดแลอันดับแห่งปัจขันธ์นี้
อันว่าชีวิตรแห่งบุคคลวันเดียวนั้น
ประเสริฐกว่าชีวิตรร้อยปีนั้นแลฯ
เสด็จอยู่ในพระคันธกุฏิ
เปล่งพระรัศมีโอภาสไปให้เห็น
ดุจเสด็จอยู่ในที่เฉพาะหน้า
แห่งนางปติจฉราภิกษุณีนั้น
ก็ตรัสพระธรรมเทศนานี้ฯ
อันว่าผู้บุคคลผู้ใดมีอายุสม์
ได้ ๑๐๐ ปีแลมิได้เล็งเห็น
อันเกิดแลดับแห่งปัจขันธ์นี้
ชีวิตรได้ ๑๐๐ ปีนั้น มิได้ประเสริฐ
อันว่าบุคคลผู้ใดมีอายุสม์แต่วันเดียว
แลเล็งเห็นซึ่งอันเกิดแลอันดับแห่งปัจขันธ์นี้
อันว่าชีวิตรแห่งบุคคลวันเดียวนั้น
ประเสริฐกว่าชีวิตรร้อยปีนั้นแลฯ
นางปติจฉราภิกษุณีได้ฟังพระธรรมเทศนา
นางก็ลุถึงพระอรหรรต
กอประด้วยปติสัมภิทาญาณ
ในกาลเมื่อจบพระธรรมเทศนานี้แลฯ
ขอถวายพระพร
อาตมภาพพิจารณาทุติยปัญหา
ด้วยพระธรรมเทศนา
นี้ถวายเปนต้นหนแลนายเข็ม
สำหรับสำเภาเภตราคือ
พระบวรอาตมา พระองค์ผู้ประเสริฐ
วิสัชนาปฤษณาคำรบสองแล้วแต่เท่านี้แลฯ
นางก็ลุถึงพระอรหรรต
กอประด้วยปติสัมภิทาญาณ
ในกาลเมื่อจบพระธรรมเทศนานี้แลฯ
ขอถวายพระพร
อาตมภาพพิจารณาทุติยปัญหา
ด้วยพระธรรมเทศนา
นี้ถวายเปนต้นหนแลนายเข็ม
สำหรับสำเภาเภตราคือ
พระบวรอาตมา พระองค์ผู้ประเสริฐ
วิสัชนาปฤษณาคำรบสองแล้วแต่เท่านี้แลฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น