8.05.2556

“ล้างพิษ” ทำเองได้

การล้างพิษคือการอดอาหารและปล่อยให้ร่างกายขับสารพิษออกมา


     “มีอยู่ 2 สูตรที่จะแนะนำ แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนที่จะนำไปใช้  
สูตรแรก คือ สูตร 10 วัน ซึ่งควรทำปีละ 1-2 ครั้ง 
เริ่มจากการเตรียมร่างกาย 1 วัน โดยลดจำนวนอาหารที่กินลง 
อีก 2 วันต่อมาให้กินผลไม้อย่างเดียว 
จากนั้นอีก 5 วันให้กินแต่ผักสด ผลไม้ เห็ด โดยงดข้าวและเนื้อสัตว์ 
และอีก 2 วันที่เหลือเป็นวันปรับท้องเตรียมออกด้วยการเพิ่มจำนวนผักสดและผลไม้ที่กิน 
เมื่อครบ 10 วันจากโปรแกรมนี้ก็กินอาหารอื่นได้ตามปกติ”

     และสำหรับโปรแกรมอด 1 วันล้างพิษนั้น ค่อน ข้างสะดวกและทำง่าย 
ซึ่งหากจะให้ได้ผลดีต่อร่างกาย ควรทำให้ได้ทุกสัปดาห์ 
วิธีทำคือ มื้อเช้าให้กินผลไม้และน้ำผลไม้คั้นสดที่ชอบ 
 มื้อต่อมาให้กินผลไม้ตลอดทั้งวัน 
แต่ถ้าหากท้องปรับจนชินแล้ว อาจจะเปลี่ยนจากผลไม้มื้อกลางวันและเย็น 
เหลือแค่น้ำผลไม้คั้นสดมื้อละแก้ว หรือเป็นน้ำเปล่าทั้งวัน 
 หรือไม่กินอะไรเลยทั้งวัน แล้วจะความชินของร่างกายแต่ละคน

     “ถ้าเป็นมือใหม่หัดล้างพิษ คือหัดอด ก็แนะนำโปรแกรมแรก คือ 
 ให้กินผลไม้ทั้งวันได้ แล้วพอครบ 24 ชั่วโมง 
ให้นำมะนาว 4 ลูก ผสมในน้ำ 2 ขวด ขวดละ 2 ลูก ตามด้วยเกลือ 2 ช้อนชา 
และค่อยดื่มลงไป เพราะเมื่อร่างกายอดอาหารและได้พัก 
ร่างกายจะขับสารพิษออกมาที่ตับ และจะถูกลำเลียงไปยังลำไส้เล็ก 
การกินน้ำผสมมะนาวและเกลือลงไป 
จะเป็นการล้างพิษออกไปทางลำไส้ใหญ่ และถูกขับถ่ายออกไปในที่สุด”

ที่มา.. ผู้จัดการออนไลน์   : Users Online

รักษาโรคด้วยธรรมชาติ (แบบโบราณ)



ร่างกายเราเป็นสิ่งที่วิเศษมาก 
 มันสามารถเปลี่ยนแปลงอาหารที่เรากินเข้าไป
ให้กลายเป็นสารอาหารต่างๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป 
และมีวิธีการกำจัดของเสียในร่างกาย ออกเป็น 5 ทางคือ 
1. ทางลมหายใจ 
2. ทางเหงื่อ 
3. ทางปัสสาวะ 
4. ทางอุจจาระ และ 
5. ทางประจำเดือน 
ร่างกายเรายังมีความวิเศษอีกอย่างคือ หากเรามีของเสียมาก 
ร่างกายจะกำจัดโดยแสดงออกในรูปแบบต่างๆ 
เช่น การเป็นหวัด คือ ร่างกายเราจะมีน้ำมูกมาชะล้างเชื้อโรคบริเวณเยื่อบุจมูก

สิ่งที่ควรรู้

1. การตากแดด ควรเป็นแสงแดดช่วงเวลาก่อน 9 โมงเช้าและหลัง 4 โมงเย็น

2. น้ำมะพร้าว คือ น้ำมะพร้าวสดแต่ไม่ต้องทานเนื้อ (ไม่ใช่มะพร้าวเผา) 
และต้องเป็นมะพร้าวที่ยังมีเปลือกสีเขียว 

เนื่องจากยังไม่ผ่านมาใช้สารฟอกเปลือกให้เป็นสีขาว

3. กินผลไม้สด (ไม่ควรแช่ตู้เย็น) 
คือ การกินผลไม้ 2 ชนิด โดยให้มีรสชาติเดียวกัน 

เช่น รสชาติหวานเหมือนกันทั้ง 2 อย่าง หรือเปรี้ยวทั้ง 2 อย่าง

4. น้ำหยวกกล้วย คือการนำหยวกกล้วยที่ผ่านการมีผลมาแล้ว 

นำมาสับและปั่นแล้วคั่นน้ำออกมา

5. การออกกำลังกายที่ดี คือ การเดิน, การว่ายน้ำ และการเล่นโยคะ
ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ก่อน 8 โมงเช้า และ 5 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม และควรออกทุกวัน



การดำรงชีวิตประจำวัน

1. ตื่นนอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หรือตื่นนอนก่อน 6 โมงเช้า
2. ดื่มน้ำมะพร้าวหรือน้ำผึ้ง
3. ไปนั่งถ่าย และแปรงฟันด้วยมือกับใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร 


นวดเหงือกและฟัน ประมาณ 10 นาที

4. ชโลมน้ำมันงาหรือผงถั่วเขียว (แทนสบู่) ที่ศีรษะ, 
หน้าและร่างกาย หลังจากนั้น ให้นวดศีรษะ, 
นวดหน้า (เป็นการนวดเป็นนวดขึ้น เพื่อทำให้หน้าตาเต่งตึง), 
นวดร่างกาย เช่น นวดท้อง และนวดหัวใจ 
 พร้อมทั้งพูดกคุยกับอวัยวะของตัวเอง ประมาณ 15-20 นาที 
 แล้วนวดฝ่าเท้าประมาณ 15-20 นาที 

รอให้น้ำมันซึมเข้าผิวประมาณ 15-20 นาทีแล้วค่อยล้างออก

5. กินอาหารเช้าประมาณ 8 โมง ควรเป็นผักหรือผลไม้
6. เวลาเที่ยง 12.00 น. ให้ทานอาหารมื้อหลัก
7. เวลา 6 โมงเย็น ให้หยุดกิจกรรมให้น้อยลง
8. อาหารเย็นควรเป็นผักและผลไม้ หรือน้ำผลไม้หรือน้ำมะพร้าว
9. ให้นอนประมาณ 4 ทุ่ม เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้เราหลับง่ายที่สุด 

หากเลยเวลานี้ ร่างกายเราจะดึงพลังงาน แล้วทำให้เรานอนหลับยากขึ้น 


การรับประทานอาหารที่ดี คือ

ให้ทานผลไม้ 2 มื้อ คือมื้อเช้าและมื้อเย็น
ทานอาหารหลัก 1 มื้อ คือ มื้อเที่ยง

วิธีการรักษาโรคแบบต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด
โรคปวดท้องประจำเดือน
วิธีรักษา วันแรกให้กินน้ำมะพร้าวและผลไม้ 

กินไปประมาณ 3-4 วัน ประมาณ 3 เดือน 

จะหายปวดท้องและดีต่อการคลอด


โรคปวดหัว
วิธีรักษา ให้เอาน้ำเปล่าราดหัว ประมาณ 5 นาที

โรคสิว
วิธีรักษา ไม่ให้กินขนมปังเบเกอรี่, ของทอด,พวกน้ำมัน, อาหารเผ็ด,แป้งขัดสี,
น้ำตาลทรายขาว ควรกินแต่ผัก, ผลไม้ และน้ำมะพร้าว

โรคปวดเมื่อย
วิธีรักษา ให้เอาผ้าเปียกมาคลุมบริเวณที่ปวดเมื่อย ประมาณ 1 ชม. (ไม่ให้เกินนี้)

ผู้มีสุขภาพเรื้อรัง
วิธีรักษา 1. ให้กินน้ำหยวกกล้วยตอน 6.00 โมงเช้าประมาณ 1 เดือน 


หรือให้กินหยวกกล้วยสดก็ได้

2. ให้ตากแดดวันละ 1 ชม. ทั้ง เช้า 0.30 ชม.และเย็น 0.30 ชม.

โรคผิวหนัง
วิธีรักษา ใส่เสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าฝ้ายและไปตากแดด วันละ 2 ชม. เช้าและเย็น

โรคหัวใจ
วิธี รักษา ให้กินเจ และกินผลไม้ตอนเย็น ประมาณ 3 เดือน 

และไปตากแดดเช้า 1 ชม. และเย็น 1 ชม. 

กินน้ำเปล่า, น้ำมะพร้าว, น้ำผึ้ง หรือน้ำผลไม้ต่างๆ


โรคไมเกรน
วิธีรักษา ใช้น้ำราดศีรษะวันละ 5 ครั้ง ๆ ละ 5 นาที 


และกินผลไม้ทั้งวัน 3 มื้อ ประมาณ 1-2 วั


คนสายตาสั้นหรือยาว
วิธีรักษา ให้บริหารสายตาด้วยการกรอกลูกตา
1. จากบนลงล่าง
2. จากขวาไปซ้าย
3. บนขวาไปเฉียงล่างซ้าย
4. บนซ้ายไปเฉียงล่างขวา
5. บน ซ้าย ล่าง ขวา
6. บน ขวา ล่าง ซ้าย
แล้ว ใช้น้ำมะพร้าวหยดตา รวมทั้งให้มองพระอาทิตย์ตอน 7 โมงเช้า 

และตอน 6 โมงเย็น และไม่ให้กินอาหารเย็น 

ให้กินผลไม้, ผัก และน้ำมะพร้าว ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการจะดีขึ้น


โรคเหน็บชา
วิธีรักษา ไปนั่งตากแดด เช้าเย็น และกินเจ


โรคเบาหวาน
วิธีรักษา กินผักสด 1-2 เดือน และหลังจากนั้น หากอยากกินน้ำผลไม้ก็ได้

ความดันโลหิตสูง
วิธีรักษา เอาน้ำราดศีรษะ 5 ครั้งและกินผลไม้

โรคสะเก็ดเงิน
วิธีรักษา กินผลไม้ 2-3 เดือนและตากแดด

โรคคลอเรสเตอรอส
วิธีรักษา กินผักและผลไม้

โรคกระเพาะ
วิธีรักษา กินผักและผลไม้

โรคหวัด
วิธีรักษา กินแต่ผลไม้

ท้องเสีย
วิธีรักษา กินน้ำผลไม้และน้ำมะพร้าว และพักผ่อนเยอะๆ

โรคนอนไม่หลับ
วิธีรักษา ก่อนนอนให้ราดหัว ประมาณ 10 นาที



การเตรียมตัวตั้งครรภ์และการคลอดให้ราบรื่น
1. ให้กินผลไม้ 2 มื้อและอาหารเจ 1 มื้อ
2. การตากแดด (เช้า-เย็น)
3. รักษาจิตใจ ให้มีความสุข
จะช่วยให้เด็กแข็งแรง และไม่ปวดท้องตอนคลอด
(คุณหมอให้คนไข้ของคุณหมอในประเทศอินเดียทำอย่างนี้นะค่ะ)

การล้างสารพิษในผักและผลไม้
ใช้น้ำผสมเกลือหรือน้ำส้มสายชูเล็กน้อย แช่ผักและผลไม้ทิ้งไว้ ประมาณ 1 ชม.  
: Users Online

สูตรอาหาร:-ธรรมชาติบำบัด

ล้างระบบดูดซึม
  - นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว : ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และ บีบมะนาว 2 ลูก   คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม
คุณสมบัติ
: ให้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อย,  นมสดให้แคลเซียม

- บอระเพ็ดยาว 1 เกียก (กางนิ้วชี้ให้ห่างจากหัวแม่โป้งที่สุด แล้ววัดความยาวระหว่างปลายนิ้วชี้ กับ ปลายนิ้วโป้ง) ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ บอระเพ็ดล้างไขมัน บำรุงถุงน้ำดี  

- ดีบัว ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ
- ชามะละกอ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก  ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป)  และ ใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง    ต้มในน้ำ จนเดือด  พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ  ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่าปล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก  แล้วตักใบชาทิ้ง   จะได้น้ำชามะละกอ  ดื่มร้อน หรือ เย็นได้    น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน  เกินกว่านั้นจะบูด  (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ)
สูตร5
- ข้าวต้มยางมะละกอ : มะละกอดิบ หั่นเป็นชิ้น ๆ ชิ้นละประมาณ 1 ข้อของนิ้วมือ ไม่ต้องปอกเปลือก ครึ่งลูกต่อน้ำประมาณ 2 ลิตร ต้มในหม้อ เมื่อเดือดแล้ว เคี่ยวต่อ จนมะละกอเละ เมื่อเละแล้ว ให้ช้อนมะละกอทิ้ง เหลือน้ำไว้   น้ำนั้นคือ น้ำยางมะละกอ นำน้ำยางมะละกอ มาหุงกับข้าวกล้อง ควรจะใส่ใบเตยหุงไปด้วย เพื่อความสดชื่น จะใช้น้ำเท่าไหร่ ให้กะเอากับจำนวนข้าวกล้อง กะให้หุงมาเป็นข้าวต้ม ไม่ใช่แห้งเป็นข้าวสวย น้ำยางมะละกอที่เหลือ แช่ตู้เย็นเก็บไว้ก่อน ห้ามใช้ข้าวขาว เพราะข้าวกล้อง จะมีสารไปลดพิษจากยางมะละกอ หุงกับข้าวกล้อง ให้กลายเป็นข้าวต้ม เมื่อได้ข้าวต้มยางมะละกอแล้ว ทานติดกัน 10-14 วัน ทุกมื้อ แทนข้าว  ทานกับกับข้าวปกติ ช่วยล้างระบบดูดซึม ล้างไขมัน และ น้ำตาลในเลือด ลดกรดยูริค

กำจัดไวรัส
เม็ดมะรุมตากแห้ง แกะเปลือกแล้วทานเม็ดข้างใน วันละ 5-30 เม็ด เป็นเวลา 7-40 วัน

ข้าวต้มแครอท ป้องกันไวรัส (ไม่ได้กำจัด) ทานช่วงฤดูหนาว นำแครอทหั่นเป็นชิ้นเล็ก ต้มกับข้าว ทานเป็นข้าวต้ม

แก้คัดจมูก ภูมิแพ้
-ใบยอเผา ปิ้ง ยำ หรือใส่ในห่อหมก แก้ไอ คัดจมูก
-เนยใส (Ghee) ชุบสำลี แยงจมูกให้ลึกที่สุด แก้คัดจมูก และ ภูมิแพ้ ฆ่าเชื้อในโพรงจมูก
-ชามะละกอ ล้างไขมันในลำไส้ แก้ภูมิแพ้
-ไวทาไลท์ ดื่มวันละ 1 ซอง รักษาภูมิแพ้ เจ็บคอ ร้อนใน  

ล้างเชื้อรา

-กินผักเมือก ๆ เช่น ผักบุ้งแดง, กระเจี๊ยบเขียว, ผักปรัง, บวบ, น้ำเต้า, เม็ดแมงลัก, ใบมะรุม เป็นต้น เมือก(เพคติน)จะไปล้างเชื้อราในระบบดูดซึมออกมา
-ใบย่าน่าง ปั่น หรือ คั้นน้ำ ทานแต่น้ำ  

ถ่ายพยาธ

- เม็ดมะรุม วันละ 7 เม็ดขึ้นไป, น้ำมันมะรุม ทานไล่พยาธิ
- กระเจียบเขียว 7 กำมือของผู้ป่วย ทานให้หมดภายใน 3 วัน ไล่พยาธิตัวจี๊ด และ อื่น ๆ
- ยาถ่ายพยาธิทั่วไป ปรึกษาเภสัชกรประจำร้าน
- เนื้อลูกยอ ช่วยขับพยาธิ
- พยาธิผิวหนัง / ตัวจี๊ด ใช้ Sun Smile สมุนไพรสกัดจาก แป้งข้าวโพด น้ำมันมะพร้าว หยดในน้ำดื่ม
- ใบข่า ซอย 2 ใบ ต่อ วัน 5-7 วัน
- พยาธิใบไม้ในตับ, พยาธิตัวแบน ทานเมล็ดฟักทอง วันละ 200-400 เมล็ด ติดกัน 30 วัน ทานเวลาท้องว่าง (แนะนำว่า นำเมล็ดฟักทองไปปั่นกับนม แล้วเติมน้ำผึ้ง เพื่อให้ทานง่ายขึ้น)

ล้างอุจจาระตกค้าง

- เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา  ทานเป็นปกติได้ทุกวัน หรือ 3-4 วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่สมควร
- นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า
- ทานผักบุ้งแดง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา
- กระเจี๊ยบเขียว ทานวิธีใดก็ได้ 4-7 ฝักต่อวัน
- โซดา 1 ขวด ผสมนมข้มหวาน 6 ช้อนโต๊ะ 

รักษานิ่วในไต

1. เหล้าขาว หรือ Vodka 1 ก๊ง (2 ช้อนโต๊ะ) ผมมน้ำมะนาว 1 ลูก ทานก่อนนอนทุกวัน เป็นเวลา 10 วัน
2. แกนสับปะรด 3 ลูก กินเฉพาะแกน หรือ เอาแกนไปต้มน้ำพอประมาณ ทานเป็นเวลา 5-10วัน
3. น้ำมะพร้าวอ่อน แกว่งด้วยสารส้ม ดื่มวันละ 1 ครั้ง จนกว่านิ่วจะหลุด

บำรุงไต

1. ของสีดำตามธรรมชาติ ทุกชนิด เช่น ถั่วดำ, ข้าวเหนียวดำ, เห็นหูหนูดำ, เฉาก๊วย, งาดำ เป็นต้น
2. หน่อไม้ดอง
3. เม็ดบัว
4. ไขเยี่ยวม้า
5. น้ำฟักทอง
6. เห็ดหูหนูดำ ต้มกับหญ้าหวาน ใส่น้ำตาลกรวด ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงสมอง ดีต่อปอด ไต ม้าม
แต่อย่ากินตอนเย็น เพราะจะเย็นเกินไป

บำรุงปอด

1. พืช ผัก ธัญพืช ที่มีสีขาวโดยธรรมชาติ บำรุงปอด เช่น ถั่วขาว, เห็ดหูหนูขาว เป็นต้น
2. น้ำสำรอง ทานก่อนตีห้า บำรุงปอด
3. หัวต้นหอมดีกับปอด หางกินแล้วเย็น
4. ข้าวเหนียว 2 ส่วน ต้มกับลำไยแห้ง 1 ส่วน ใส่น้ำมากๆ กินบำรุง ปอด หัวใจ ตับ


บำรุงตับ

1. ขมิ้นชัน ทานก่อนนอน
2. ถั่วเขียว บำรุงตับ
3. ชาแคลลี่ ดื่มก่อนนอน ช่วยตับขับสารพิษ
4. ลูกเดือยต้มกับถั่วขาว ถั่วขาว 1 ส่วน ลูกเดือย 2 ส่วน ต้มน้ำ 20 เท่า กินแต่น้ำ บำรุงตับ


บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ

1. ผักสด ผลไม้สด ทุกชนิด (กล้วย ส้ม ขนุน มีโปตัสเซียมมาก) และเนื้อหมู
2. งด ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง เต้าหู้ เพราะมีโซเดียมเยอะจะไปทำร้ายกล้ามเนื้อหัวใจ
3. ใบเตย ต้มน้ำ ทานแต่น้ำ
4. ถั่วแดง บำรุงหัวใจ


บำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ

1. ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง เต้าหู้ ไข่เยี่ยวม้า มีโซเดียมสูง บำรุงเยื้อหุ้มหัวใจ
2. งด ผลไม้สด และ ผักสด เนื้อหมู ซึ่งมีโปตัสเซียมสูง จะไปทำร้ายเยื่อหุ้มหัวใจ


ละลายลิ่มเลือด แก้ช้ำใน


1. เหล้าขาว หรือ Vodka 2 ช้อนโต๊ะ ผสม น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ วันละครั้ง ดื่ม 3-7 วัน แล้วแต่อาการ
2. นมสด 1 แก้ว  ชมิ้นชัน 1 ช้อนโต๊ะ เนยใส 1 ช้อนโต๊ะ (หรือ น้ำมันมะรุม1 ช้อนโต๊ะ แทนเนยใส หรือ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ หรือ น้ำมันขิง 1 ช้อนโต๊ะ แทนเนยใส )คนให้เข้ากัน ทานติดกัน 5-10 วัน แล้วแต่อาการ
3.โยเกิร์ตรสจืด 1 ถ้วย ผสมน้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ ทาน 5-7 วัน
4. สมุนไพรสกัด แดนดิไลน์ ควบคู่กับ แอลสตรีม
ล้างสารพิษ
1. ระดับต่ำ เห็ดสามอย่าง ต้มน้ำ ดื่มน้ำที่ต้มได้ หรือ นำเห็ดสามอย่างไปทำอาหาร
2. ระดับกลาง ข้าวต้มถั่วเขียว  (ข้าวสาร ๑ ส่วน ถั่วเขียว ๑ ส่วน ต้มกับน้ำจนกลายเป็นข้าวต้ม ที่สำคัญสูตรนี้ต้องต้มในหม้อดินหรือหม้อกระเบื้องเคลือบเท่านั้น เพราะถ้าใช้หม้อโลหะ มันก็จะไปดึงสารพิษจากโลหะกลับเข้ามาอีก)
3. ระดับสูง ต้นรางจืด (คนละชนิดกับรางจืด อาจจะหายากสักหน่อย แต่พอมีขายตามร้านขายยาไทย เช่น เจ้ากรมเป๋อ) ลักษณะเป็นไม้แห้ง หั่นเป็นแว่นๆ ใช้สัก ๓-๔ แว่นต้มกับน้ำ ๑ ลิตร (ต้มในหม้อดิน) ดื่มน้ำล้างพิษ ๗-๑๐ วัน
หรือจะใช้ ต้นเหงือกปลาหมอ (งงหนักขึ้นไปอีก) อันนี้ต้องเฉพาะพื้นที่ (ตามป่าชายเลนจะพอมี) ถ้าใช้สดมาสับๆ ให้ละเอียด ๑ ขีด (ถ้าแบบแห้งก็แค่ ๑/๒ ขีด) ต้มกับน้ำ ๑ ลิตร (ต้มในหม้อดิน) ดื่มน้ำล้างพิษ ๑๐ วัน
ง่ายกว่านั้นแต่ต้องใช้ตังค์เยอะหน่อย คือ ใช้ ชาแคลรี่ (CALLI) ของซันไรเดอร์  ชงดื่มวันละ ๑-๒ ซอง ล้างพิษระดับนี้ได้ชะงัดนัก
4. ผักบุ้งแดง ๑ กำมือ ต้มกับน้ำ ๑ ลิตร เติมน้ำตาลทรายแดง ๕ ช้อนโต๊ะ (ต้มในหม้อดิน) กินน้ำล้างพิษ สัก ๑๐-๓๐วัน
ลดความอ้วนจากการบวมน้ำ
ฟักเขียว ต้มกับ ข้าวสาร อย่างละเท่ากัน
ลดความอ้วน (ควรใช้ 2 สูตรนี้ ควบคู่กันไป)
พุทราจีน 7 ลูก ต้มกับขิง 1 หัวแม่มือ ดื่มแล้ว ต้องออกกำลังกาย เช่น เดิน, แกว่งแขน สูตรนี้จะขับเหงื่อ เผาผลาญไขมัน ลดความอ้วน เผาผลาญของเก่า
ข้าวต้มลูกเดือย ป้องกันไขมันใหม่
สะเก็ดเลือด
1. นม 1 กล่อง + ขมิ้นชัน 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
2. โยเกิร์ต + น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ (ขิง ข่า งา มะพร้าว) คนให้เข้ากัน ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
3.อ้อยดำ อ้อยแดง สับ ๆ 7 ปล้อง ต้มน้ำดื่ม ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
4.มะขามคลุกข่า ใส่เกลือสมัยใหม่+ผงชะเอมหรือผงบ๊วย ทานจนกว่าอาการจะหาย
5. สมุนไพรสกัด แดนดิไลน์ ควบคู่กับ แอลสตรีม

ล้างสารพิษตกค้าง, ไทรอยด์เป็นพิษ, เนื้องอก

1. เห็ด 3 อย่าง ใช้เห็ดที่ทานได้ (ไม่มีพิษ) ชนิดใดก็ได้ ต้มรวมกันไม่น้อยกว่า 3 ชนิด แล้วทานน้ำ จะช่วย บำรังตับ และ ขจัดสารพิษ สลายพังผืดในมดลูก ลดอนุมูลอิสระ ลด cell มะเร็ง  เพิ่มโลหิตขาว ลดไขมันในเลือด แก้ภูมิแพ้
2. ชาแคลลี่ สมุนไพรสกัด ล้างสารพิษตกค้าง
3. เนื้อลูกยอ ทานในฤดูหนาว ล้างพิษ
4. น้ำต้ม ใบรางจืด กับ ใบเตย กะสัดส่วนเอง ทานล้างสารเคมีตกค้างจากยาฝรั่ง  ล้างกรดยูริก

ริดสีดวงทวาร

สูตรแผนจีน กล้วยหอมทั้งเปลือก ฝานลงต้มกับน้ำตาลทรายแดง ทานทั้งน้ำทั้งเนื้อ
ลดไขมันในเลือด

1. กระเจี๊ยบแดง+พุทราจีน อย่างละเท่ากัน  ต้ม   ใส่น้ำเท่าไหร่ ให้กะเอง    ใส่น้ำตาลทรายแดงนิดหน่อย  ต้มแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ดื่มทุกวัน ดื่มมากน้อยเท่าไหร่ แล้วแต่พอใจ  ไม่มีอันตราย   สูตรนี้ยังช่วยลดหินปูนในเลือด ลดหินปูนในสมอง  บำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ แต่ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจ
* น้ำกระเจี๊ยบแดงอย่างเดียว ที่ไม่ใส่พุทราจีน ทานมากจะมีผลต่อไต ไตจะเสื่อม  ต้องใส่พุทราจีนด้วยจึงครบสูตร ทานได้ทุกวัน
2. มะละกอปลอกเปลือก ต้มในน้ำแกง หรือแกงส้ม ทานได้ทั้งน้ำและเนื้อ ลดไขมันในเลือด
3. มะเขือทุกชนิด มะเขือเทศ มะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือยาว เป็นต้น
4. กะทิ และ ไข่แดง มี HDL Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันตัวดี มีประโยชน์ ช่วบลด LDL Cholesterol (ไขมันตัวร้าย) ฉะนั้น ควรทาน กะทิ และ ไข่แดงเป็นประจำ
5. สะเดา ลวกสุก ทานล้างไขมัน ไม่ควรทานทุกวัน เพราะจะทำให้ปวดเมื่อยเนื้อตัว


ลดความอ้วน ลดไขมันสะสม

1. ทานมันเทศสีเหลือง หรือ บุก หรือ ฮ่วยซัว ระหว่าง 0900-1100 น. ช่วยอุ้มไขมันไปทิ้ง
2. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทานก่อนนอน หรือ ทานน้ำสำรองเป็นประจำ
3. ไวทาไลท์ 1 ซอง ผสมน้ำ 1 ลิตร ดื่มให้หมดภายใน 1 วัน ดื่มติดกันจนกว่าจะได้น้ำหนักที่พอใจ
4. แกงบอน ช่วยลดความชื้นในร่างกาย ปอดชื้น ไตชื้น ม้ามชื้น ลดความอ้วน


ขยายหลอดเลือด


1. หน่อไม้ ต้มกับใบย่านาง (หรือซุปหน่อไม้) ใบย่านางจะล้างพิษของหน่อไม้ สูตรนี้ช่วยขยายหลอดเลือด
2. กุ๊ยช่าย ลดความดัน ฟอกเลือด


ลดน้ำตาลในเลือด รักษาเบาหวาน


1. น้ำต้มใบมะยม หรือ หญ้าหวาน หรือ อบเชย หรือ รากเตย
2. ซันนี่ดิว สมุนไพรสกัดจากหญ้าหวาน
3. สูตร อ.จัสติน รากเตยหอม ผสม กับ อบเชย ต้มน้ำดื่ม ดื่ม ตอน 9 นาฬิกา วันละ 1 แก้ว
4. ว่านรางจืด ช่วยล้างพิษจากน้ำตาลในเลือด
5. ใบมะรุม


โรคปอดหรือหอบหืด

ขิงเท่าหัวแม่มือของผู้ป่วย หอมแดงเท่าขิง กระเทียมเท่าขิง ปั่นหรือตำเติมน้ำ 1 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 3-4 ลูก ไม่เกิน 1 เดือน


กระเพาะอาหาร, กรดในกระเพาะ

1. ขมิ้นชัน 5-7 เม็ด ทานระหว่าง 0700-0900 เช้า บำรุงกระเพาะอาหาร
2. Assimilaid สมุนไพรสกัด บำรุงกระเพาะ
3. กระเจี๊ยบเขียว 3-5 ฝัก เมือกเพคติน สมานแผลในกระเพาะ


บำรุงม้าม

1. ถั่วเหลือง หรือ มันเทศสีเหลือง หรือ ขมิ้นชันทานเวลา 0900-1100 น.บำรุงม้าม
2. อัลฟ่า 20 ซี สมุนไพรสกัด ทานเวลา 0900-1100 น. บำรุงม้ามให้ผลิตเม็ดเลือดขาว สร้างภูมิคุ้มกัน แก้น้ำเหลืองเสีย ป้องกันงูสวัด
3. ดอกอัญชัญต้มน้ำ ทานน้ำ บำรุงม้าม ช่วยให้น้ำเหลืองดี


แก้ปวดข้อ

1. ลูกเดือยต้ม ทานเนิ้อแทนข้าว 7 วัน รวม 21 มื้อ แต่ละมื้อ ต้องมีลูกเดือยในสัดส่วนมากกว่า 70% ของมื้อนั้น
2. ใบยอ นึ่ง คั้นน้ำ หรือปั่น กินแก้ปวดข้อ ไม่ควรกินสดเพราะมีสารพิษ
3. กากกระชายที่ได้จากการปั่น ใช้ผสมเหล้ากับน้ำตาลทราย พอกเข่าแก้ปวดได้
4. น้ำต้ม ใบรางจืด กับ ใบเตย กะสัดส่วนเอง ทานล้างสารเคมีตกค้างจากยาฝรั่ง  ล้างกรดยูริก

ปรับความดันให้สมดุลย์

1. น้ำกระชายปั่น : กระชายล้าง ไม่ต้องปอกเปลือก 1 ขีด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มะนาว 2 ลูก
ล้างกระชายให้สะอาด ปั่นให้ละเอียด เติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้งและน้ำมะนาวลงไป ผสมปรุงรสตามใจชอบได้
- บำรุงกระดูก (เพราะมี แคลเซียม สูง)
- บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยง สมองส่วนกลาง ดีขึ้น
- ปรับสมดุลของ ฮอร์โมน
- ปรับสมดุลของ ความดันโลหิต ( ความดันโลหิตสูงจะลดลง ความดันโลหิตต่ำ จะสูงขึ้น
- แก้ โรคไต ทำให้ ไต ทำงานดีขึ้น
- ป้องกัน ไทรอยด์ เป็นพิษ
- บำรุง มดลูก
- แก้ปัญหา ผมหงอก ผมร่วง
- อาการ กระเพาะปัสสาวะ เกร็ง (กรณีนี้อาจใช้ เม็ดบัว ต้มกิน)
- ควบคุมไม่ให้ ต่อมลูกหมาก โต
- แก้ปัญหา ไส้เลื่อน
*กระชายมีฤทธิ์ร้อน หากรู้สึกร้อนใน ให้ลดจำนวนลง

เพิ่มเม็ดเลือด

1. สัปปะรดกับใบโหระพา-ปั่นสด กรอง ทานแต่น้ำ, ผักชีปั่นกับสับปะรด ทานน้ำ, ใบยอ ปั่นกับสับปะรด เพิ่มเม็ด
2. ใบเตย ต้มกับใบมะนาว, ใบเตยต้มกับแก่นขนุน
3. ใบขี้เหล็ก กินสุก เช่น แกงขี้เหล็ก ห้ามกินดิบ เพราะมีสารพิษ
4. สมาธิบำบัด โดย กสิณสีแดง

เพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)

1.น้ำมะม่วงสุก / มะม่วงกวนต้มกับน้ำมะขาม / น้ำมะพร้าวอ่อน (ห้ามทานเนื้อ) /น้ำมะเฟือง / ผักกุ๊ยช่าย/ หอยแมงภู่แห้ง / ปลิงทะเล/ ว่านชักมดลูก(ชายสูงอายุต้องกิน จะช่วยให้ไม่เป็นไส้เลื่อน และไม่เป็นต่อมลูกหมากโต) ,
2. มุกสกัด
3. ลูกยอสุก เอาเม็ดออก ผสมยาสระผมสมุนไพร แก้เหา แก้คันจากไรฝุ่น ใช้ขับประจำเดือนอย่างแรง (ระวังอาจแท้งได้) ลูกยอมีฮอร์โมนเอสโตรเจน และตัวเบื่อเมา ใช้สับปะรดใส่ช่วยดับกลิ่นลูกยอได้
4. แครอทปั่นกับแอปเปิ้ลเขียวหรือฝรั่งหรือตะลิงปริง ,

บำรุงระบบเพศ
1. เนื้อลูกบัวต้ม
2.น้ำกระชายปั่น

สูตรอาหารอื่น ๆ

ใบกระเพราตากแห้ง - ใช้ต้มดื่มน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ ขับลม

ใบมะยม,รากเตย, ใบหญ้าหวาน - ใช้ต้มดื่มน้ำ ช่วยบำรุงหัวใจ ด้านเบาหวาน ฟื้นฟูตับอ่อนให้แข็งแรง
ใบโหระพา - กินวันละ 7 ยอด เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยดูแล ปอด, ตับ, ม้าม, ไต, หัวใจ ให้แข็งแรง
ใบโหระพาปั่นกับสับประรด - ช่วยสร้างเม็ดเลือด
ใบเตย+ใบมะนาว/ ใบเตย+แก่นขนุน / ใบเตย+แก่นฝาง - ต้มรวมกันดื่มน้ำ ช่วยสร้างเม็ดเลือด
ใบเตย+แฮ่ม - ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไมเกรน
ใบยอ - นำเอาใบมาย่างไฟ แล้วยำกินช่วยบำรุงเลือดได้ดี
ใบหูเสือ - กินช่วยขับพยาธิได้
ใบขี้เหล็ก -ช่วยขับถ่าย และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
มันเทศ - ลดความอ้วน อุ้มไขมันไปทิ้ง ลดความชื้นของม้าม ซุปมันเทศลดอาการตัวบวม
แกงบอน, ขมิ้นชัน, มันเทศ - เป็นอาหารลดความชื้นของม้าม และปอ
แกงสับปะรดใส่หอยแมงภู่แห้ง - แก้ปัสสาวะขัด ต่อมลูกหมากโต
เนื้อสับปะรด - ต้านการอักเสบ
ตาแย่ ตาป่วย ตาเจ็บ ตาแสบ - ต้องล้างระบบดูดซึมและดื่มน้ำกระชายและส่งอาหารที่มีวิตามินA และ
วิตามินEเข้าไปมากๆ คือ ขมิ้น , แกงผักบุ้งเทโพ , ผักบุ้งไฟแดง , ผลไม้ตากแห้ง เช่นกล้วยตาก ลูกเกด

 ลูกเกด แก้ตาแพ้แสง , บำรุงผิวพรรณ , รักษาไมเกรน ช่วยให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้ดี , แก้ถุงน้ำดีข้น , ลดความบ้า โรคจิตขี้กลัว ลดเครียด , ลดคลอเรสเตอรอล สรรพคุณคล้ายกระเจี๊ยบพุทราแห้ง

     พริกหวานสีแดง ป้องกันโรคปวดตามข้อได้ ทำให้กระชุ่มกระชวย มีชีวิตชีวา สนุกสนาน
     พริกหวานสีเหลือง กระตุ้นความอยากอาหาร ช่วยย่อย
     พริกหวานสีเขียว คลอโรฟิลจะไปสร้างเม็ดเลือด

ข้อมูลจาก pendulum thai
: Users Online

6.01.2556

เถาวัลย์หลง

ก่อนอื่นต้องขอให้ท่านที่สนใจเข้ามาอ่าน 
โปรดได้ใช้กาลามสูตรเป็นเครื่องพิจารณา 
เพราะนี่เป็นความเชื่อส่วนบุคคล 
และของผู้ที่ศึกษาหรือมีประสพการ์ณมาแล้ว



ที่เรามีอยู่นี้ น่าจะเป็นตัวเมีย 
ว่ากันว่า
ใบเถาหลงเงิน ตัวเมีย แรงนัก  กว่าจะหามาได้ก็ไม่ใช่ง่าย และต้องเป็นเถาหลงจากธรรมชาติ เพราะเถาหลงที่มาจากธรรมชาติแท้ๆจะแรง กว่าจะได้มาต้องเสาะหาตามที่ต่างๆ  ต้องถามคนที่มีอายุที่ชำนาญในการเข้าป่าลึกจึงจะรู้จัก
 
สรรพคุณทางสมุนไพร 
นำต้นมาตำให้ละเอียด
ใช้พอกแผลช่วยให้หายเร็ว
ความเชื่อและโชคราง 

คนโบราณเชื่อถือมาก
มักจะปลุกต้นเถาวัลย์หลงไว้
หน้าบ้าน

ทำให้ค้าขายดี
หากนำเถาแห้งพกติดตัวจะเป็น
นะจังงังและเมตตาอีกด้วย

 



เถาวัลย์หลง
 ชื่อวิทยาศาสตร์ Argyreia splenden ( Hornem ) Sweet

วงศ์ CONVOLVULACEAE

ว่านเถาวัลย์หลงหรือเครือเขาหลง เป็นไม้เลื้อยอายุหลายปี
จุดสังเกตุคือใต้ใบมีขนสีขาวปกคลุมและดอกคล้ายผักบุ้ง
ลักษณะ ต้นใบและเถา เป็นไม้ประเภทพันธุ์เลื้อย ใบคล้ายใบหญ้านาง แต่ใบบางกว่า 
ท้องใบมีพรายปรอทเป็นมัน เถาคล้ายเถาสลิดหรือขจร เป็นปล้องๆ แต่ใบไม่เหมือนกัน 

เถาวัลย์หลงนี้มีสองชื่อ ชื่อหนึ่ง เรียกว่า “เถาหมาหลง” 
 คนโบราณได้เล่ากันต่อๆ มาว่าเป็นต้นไม้เถาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่ออกจะแปลก 
ถิ่นกำเนิดอยู่ในแดนเมืองลับแล จังหวัดอุดรดิษถ์ แต่สมัยนี้หายาก 
และยากนักที่ชาวเมืองนั้นจะรู้จัก ไม้เถาต้นนี้

เถาวัลย์หลงนี้มีอยู่สองชนิด 
ชนิดดอกขาวเป็นตัวผู้ 
ชนิดดอกสีม่วงเป็นตัวเมีย ต้นใบและเถาเหมือนกันไม่มีอะไรแปลกแตกต่างกัน

สรรพคุณ ถ้าได้ทั้งชนิดผู้และเมียปลูกไว้ใกล้กันจะดีมาก 
 ปลูกไว้เป็นซุ้มประตูลอดเข้าออกหน้าบ้าน ผู้ใดลอดผ่านเข้าไปแล้วจะเกิดงวยงงหลงไหล 
เกิดความนิยมชมชอบเจ้าของบ้าน จะพูดจะเจรจาพาทีกับเจ้าของบ้านอ่อนละมุลนุ่มนวล
ถึงแม้ผู้นั้นจะเคยพูดจาโผง ผางโฮกฮากมาก่อน 
ที่เคยระแวงแคลงใจหรือเคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตคิดร้ายมาเก่าก่อน 
เมื่อลอดซุ้มประตูเข้าไปแล้วเกิดเป็นจังงังหลงไหลเปลี่ยนแปลงสิ่งร้ายกลาย เป็นดี 
เกิดความเมตตาสงสารเห็นใจเจ้าของบ้าน 
ถ้าเจ้าของบ้านเป็นผู้ปลูกเองจะดียิ่งนัก ถ้าบ้านนั้นเป็นร้านค้าพาณิชย์ 
ผู้ผ่านเข้าไปในร้านซื้อขายไม่พอใจในเบื้องต้นกลับออกไปแล้ว
ก็จะหวลกลับมาซื้อของในร้านนั้นอีกติดมือไปจนได้

ตามตำรายังกล่าวไว้อีกว่าในป่าแถบเมืองลับแลนี้มีมาก 
 เถาวัลย์หลงนี้เลื้อยเต็มไปหมดตลอดพื้นดิน 
ผู้ใดเดินผ่านข้ามเถาวัลย์นเข้าไปก็เกิดงงงวยหลงไหล
กลับบ้านไม่ถูกเรียกว่า หลงป่าเลยเข้าไปพบหมู่บ้านซึ่งมีแต่สตรีเพศเป็นส่วนมาก
ที่เรียกว่าเมืองแม่ หม้าย ในที่สุดก็ลืมบ้าน จึงได้ชื่อว่าเถาหมาหลงอีกชื่อหนึ่ง

*เถาวัลย์หลงเป็นไม้อาถรรพ์ของป่า
ถามพรานคนไหนก้อจะรู้พิษสงของมันเป็นอย่างดี
ว่าถ้าใครเดินป่าแล้วเผลอเดินข้ามต้นไม้นี้เข้า
จะหลงป่าเดินวนอยู่ที่เดิมหาทางออกไม่เจอ
พ่อพรานบางท่านว่าสรรพคุณนี้จะออกฤทธิ์เป็นเวลาไม่ใช่มีฤทธิ์ตลอด

gotoknow.com

ตำนานเถาวัลย์หลง
เถาวัลย์หลงคือ ไม้ชนิดหนึ่งที่อยู่ในป่าลึก มีเทวดารักษา 
ผู้มีวิชาอาคมถึงจะไปขอตัดเอามาได้ 
ชื่อ เถาวัลย์หลงเพราะว่า ไม้ชนิดนี้ ถ้าคนหรือสัตว์เผลอไปข้ามก็จะหลงป่าหาทางออกไม่ได้   
แม้แต่นกที่บินผ่านต้นก็จะหลงอยู่ที่ต้นไม้แถวนั้นไปไหนไม่ได้ จนตกลงมาตาย อยู่บริเวณนั้น
         แต่เท่าที่ทราบจากคนที่เคยหลงป่าเล่ามา  
แม้ชำนาญป่าแค่ไหนก็ตาม, พรานป่าเข้าออกป่ามาตั้งแต่เด็กจนแก่
ถ้าเผลอไปข้ามเมื่อไหร่ก็ต้องหลงทุกราย   
เมื่อข้ามเครือเถาหลงแล้วจะมึนงงหาทางออกจากป่าแห่งนั้นไม่ได้   
จะต้องมีคนมาเห็นมาทักหรือพูดคุยด้วยจึงจะรู้สึกตัว 
หรือเพื่อนที่มาด้วยกันแต่เดินหาของป่าคนละจุดมาเจอเข้าจึงจะรู้ทางออก   
ถ้าไปคนเดียวก็ต้องรอจนกว่าคนทางบ้านจะตามหาเจอ

    เถาวัลย์หลงนี้ เป็นการม้วนตัวของเครือเถาหลงเองตามธรรมชาติ 
ม้วนเป็นบ่วง ที่เรียกว่าบ่วงนาคบาท 
เป็นของอาภรรพ์ ทางธรรมชาติ ของทนสิทธิ์ ที่หาได้ไม่ง่ายนัก 
เพราะจะมีอยู่ในป่าลึก บางท่านก็เคยกล่าวไว้ว่า เครือเถาหลง 
จะมีอยู่ตรงบริเวณหน้าทางเข้าเมืองลับแล 
เพื่อป้องกันผู้ที่มีเจตนาไม่ดีให้หลงทางไปที่อื่นไม่ให้เข้ามาเมืองของตน

เถาวัลย์หลง หรือ เครือเถาหลง ของอาถรรพ์..ทางธรรมชาติ 
ทนสิทธิ์ซึ่งผู้มีวิชาอาคมเท่านั้นถึงไปขอพลีตัดเอามาได้  
เถาหลง จัดอยู่ในประเภท เสน่ห์เมตตามหานิยม   
เหมาะในทางค้าขายหรือพกติดตัวเพื่อเพิ่มเสน่ห์ในตัว   
เถาหลงนิยมใช้ทางเมตตามหานิยมกันมาแต่โบราณ 
 ผู้รู้จักเถาหลงจะไม่เปิดเผยให้ใครรู้  
เพราะถ้าคนอื่นรู้คนอื่นก็จะทำตามคนสมัยก่อนจึงไม่เปิดเผยในสิ่งที่ตนรู้  
ผู้มีเถาหลงอยู่ในครอบครองจะทำให้ดูดีมีเสน่ห์เพิ่มขึ้น 
 รากต้นและใบของว่านนี้ ในกระบวนพิธีการสร้างพระผงพระเครื่องด้านเมตตามหาเสน่ห์  
จะขาดเถาหลงไม่ได้ที่จะเป็นตัวนำของมวลสารต่าง ๆ 
ที่จะนำมาผสมอยู่ในพระเครื่องจะต้องมีมวลสารของเครือเถาหลงนี้อยู่ด้วย เสมอ   
แต่ถ้าใครมีรากของเถาหลง,ใบ,กิ่ง,ก้าน,ดอก ไว้พกติดตัว 
เดินทางไปยังที่แห่งใดก็ตามผู้คนจะได้กลิ่นถึงกับงวยงง หลงไหล 
ยิ่งนำรากของว่านนั้นมาฝนกับน้ำมันจันทน์  
หรือ ผสมกับขี้ผึ้งทาปากด้วยแล้วจะเป็นสุดยอดเสน่ห์มหานิยมยิ่งนัก   
จอมเจ้าชู้มักจะรู้จักเถาหลงดีมาแต่โบราณซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันในสมัย ก่อน    
สำหรับคาถาที่ใช้เสกกำกับเ วลานำมาใช้โบราณ ท่านแนะนำก่อนใช้ให้เสกด้วย 
นะโมพุทธายะหรือ อิธะคะมะ” 
จึงจะสำเร็จผลตามที่ปรารถนา 
ยิ่งเสกด้วยมนต์คาถามหาหลงที่ขึ้นต้นว่า 
โอมมหาหลง สารพัดที่จะหลง  หลงทั้งราก,หลงทั้งต้น,
หลงทั้งกิ่ง หลงทั้งก้าน หลงทั้งใบ,หลงทั้งดอก…..” 
เรื่องเสน่ห์หาเด็ดขาดยิ่งนัก

        เถาหลงตัวเมียหรือเถาหลงเงิน ลักษณะใบเรียวแหลมใต้ใบมีสีเงินมันเงามีขนอ่อนๆ  ดอกสีขาว  ตัวผู้หรือเถาหลงทอง ลักษณะใบคล้ายตัวเมียแต่ใต้ใบจะเป็นสีทองมันเงามีขนอ่อนๆ   
ดอกสีม่วงอ่อน  ใช้เป็นเสน่ห์ต้องตัดหรือขุดในวันอังคารเพราะเป็นวันแรง


คาถาด้านเมตตาและค้าขายให้ตั้งนะโม 3 จบ

       ว่านเถาวัลย์หลง งวยงงวาบหวาม 
ใครลอดใครข้าม เกิดความหลงไหล
       ทำซุ้มเยี่ยมยอด คนลอดไปมา 
เกิดความเมตตา อุรารักใคร่
       เคยพูดโผงผาง กระด้างตีรวน  
กลับเป็นนุ่มนวล ละมุนละไม
       ที่เคยระแวง กินแหนงแคลงจิต 
ศัตรูทั่วทิศ เป็นมิตรทันใด
       เปลี่ยนแปลงสิ่งร้าย ให้กลายเป็นดี 
คนปลูกคนมี เป็นศรีสดใส
       อาคารร้านค้า ใครมาลอดผ่าน 
ซื้อของจากร้าน ถูกจิตถูกใจ
       ต้องหวนมาอีก ค้าปลีกค้าส่ง 
ฤทธิ์เถาวัลย์หลง เสริมส่งค้าขาย
      
ทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน
ท่องนะโม  3  จบ อธิฐานตามต้องการ
ตามด้วยคาถา อิธะคะมะเป่าใส่หลอดแล้วเอาหลอดแตะรอบปาก
(ผู้หญิงแตะวนจากซ้ายไปขวา  ผู้ชายแตะวนจากขวาไปซ้าย)



utdid.com
           
: Users Online

5.29.2556

หญ้าหวาน




หญ้าหวาน หรือ สเตเวีย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Stevia rebaudiana Bertoni อยู่ในวงศ์ Asteraceae เป็นพืชพื้นเมืองทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของปารากวัยในอเมริกาใต้ ความพิเศษของหญ้าหวาน คือ ส่วนของใบให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 10-15 เท่า แต่ความหวานนี้ไม่ก่อให้เกิดพลังงานแต่อย่างไร (0 แคลอรี/กรัม) นอกจากนี้ยังมีสารสกัดที่เกิดจากหญ้าหวานชื่อว่าสตีวิโอไซด์ (stevioside) เป็นสารที่ให้ความหวานมากกว่า 200-300 เท่าของน้ำตาล ด้วยความพิเศษของหญ้าหวานนี้ หญ้าหวานจึงเป็นพืชที่ได้รับความสนใจทั้งทางด้านอุตสาหกรรม การแพทย์ ยาสมุนไพร และเครื่องดื่ม เป็นต้น
มนุษย์รู้จักนำสารสกัดที่มีรสหวานจากหญ้าหวานมาบริโภคหลายศตวรรษแล้วโดย ชาวพื้นเมืองในประเทศปารากวัย โดยนำหญ้าหวานมาผสมกับเครื่องดื่ม เช่น ชา นอกจากนี้ขาวญี่ปุ่นยังนำสารให้ความมาผสมกับผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น ผักดอง ซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว เนื้อปลาบด เป็นต้น
หญ้าหวานเริ่มเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2550 และปลูกกันมากในภาคเหนือ โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และเชียงราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้มีการใช้สารสตีวิโอไซด์เพื่อการบริโภค หญ้าหวานจึงจัดอยู่ในพืชสมุนไพรอีกชนิดหนึ่ง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

- หญ้าหวานเป็นพืชล้มลุก ลำต้นกลมและแข็ง
- ใบเดี่ยว รูปหอก ขอบใบหยักคล้ายฟันเลื่อย
- ใบให้สารที่มีรสหวาน
- มีช่อดอกสีขาว

สรรพคุณของหญ้าหวาน

ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึง 200-300เท่าแต่ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง
- ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
- ช่วยบำรุงตับอ่อน
- ช่วยเพิ่มกำลัง
- สมานแผลทั้งภายในและภายนอก
- ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมอง
จาก หญ้าหวาน วิกิพีเดีย



วิธีใช้ในครัวเรือน
ใช้ใบแห้งใส่แทนน้ำตาล ไม่ควรใส่มากเพราะมีรสหวานมาก

ปลูก / ดูแล
หญ้า หวานใช้เมล็ดหรือกิ่งชำปลูกก็ได้ การเก็บเมล็ดทำได้ง่าย 

เพียงแต่ทิ้งให้ต้นมีดอกในเดือนตุลาคม 
แล้วเก็บเมล็ดในช่วงเดือนพฤศจิกายน 
 วิธีเก็บใช้ถุงพลาสติครอบดอก เขย่าให้เมล็ดร่วงลงในถุง 
นำเมล็ดมาเพาะในเดือนมีนาคม-เมษายน จะมีอัตราการงอกดี
แต่ โดยทั่วไปจะนิยมตัดกิ่งมาปักชำ 
เนื่องจากสะดวกรวดเร็วกว่า 
ให้เลือกตัดกิ่งที่แข็งแรง ตัดเกือบถึงโคนต้น 
ให้เหลือใบอยู่ 2 คู่ แล้วตัดกิ่งที่จะเอามาชำ
ให้เหลือความยาว 12-15 ซม. 
เอามาชำในถุงหรือกระบะเพาะ เด็ดใบออกเสียก่อน 
เพราะถ้ารดน้ำความหวานจากใบจะลงดิน 
ทำให้กล้าที่ชำไว้ตายได้ พอกิ่งชำแตกรากออกมาได้ 10-14 วัน 
ก็นำไปปลูกในแปลงที่เตรียมไว้
หญ้า หวานเป็นพืชที่ต้องดูแลสูงทั้งการให้น้ำและใส่ปุ๋ยบำรุงดิน 
และเก็บเกี่ยวถี่ สามารถเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 3 ปี 
จึงนิยมปลูกแซมในระหว่างแถวไม้ผล เช่น ลำไย ลิ้นจี่ มะม่วง 
นอกจากนี้ยังปลูกได้ในสวนยาง ในขณะที่ต้นยางยังเล็ก 
หรือยังไม่ได้อายุที่จะกรีดยาง
การ ปลูกช่วงที่เหมาะสมอยู่ในราวเดือนธันวาคม-มกราคม 
ให้พรวนดิน ยกร่องทำแปลงกว้าง 1 เมตร ยาว 15 เมตร 
ปลูกหญ้าหวานได้ 7 แถว ระยะห่างระหว่างแถว
และระหว่างต้น 10 x 10 ซม. 
ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกไร่ละ 1,000 กก. คลุกเคล้าลงดิน 
เอากิ่งชำมาปลูกในหลุม
หญ้า หวานจะให้ผลดีต้องหมั่นดายหญ้า 
และให้น้ำในช่วงฤดูแล้ง หลังเก็บเกี่ยวควรใส่ปุ๋ยขี้ไก่ 
เพื่อเร่งการแตกใบใหม่ 
ในช่วงเดือนธันวาคมอันเป็นช่วงที่หญ้าหวานให้ผลผลิตต่ำสุด 
มักทำการตัดต้นหญ้าหวานทิ้งให้เหลือแต่ตอในดิน 
เพื่อให้ต้นตอแตกขึ้นมาใหม่ในเดือนมกราคม

เก็บเกี่ยว
หญ้า หวานเริ่มเก็บเกี่ยวใบครั้งแรก หลังจากปลูกได้ 20-25 วัน 

หรือ ในราวปลายเดือนมกราคม 
หลังจากนั้นก็เก็บเกี่ยวไปได้เรื่อย ๆ ปีละ 6-10 ครั้ง 
ขึ้นอยู่กับการดูแล แต่ผลผลิตจะสูงสุดในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม หลังจากนั้นต้นหญ้าหวานจะเริ่มแก่และออกดอก 
ชะงักการเจริญเติบโต และให้ผลผลิตต่ำสุดในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม
การ เก็บเกี่ยว ให้ฉีดพ่นน้ำล้างฝุ่นออกเสียก่อน 
ค่อยตัดกิ่งเอาไปเก็บใบ ถ้าตัดแล้วเอาไปล้างน้ำ 
ความหวานจะละลายไปกับน้ำ ทำให้คุณภาพต่ำลง

แปรรูบ
นำ กิ่งที่ตัดมารูดใบ แล้วนำใบไปตากแดด 2-3 วัน 

ไม่ควรตากทั้งใบและกิ่งก้าน เพราะจะทำให้ใบไม่สวย 
มีสิ่งเจือปนมาก เกลี่ยใบให้ทั่วระหว่างที่ตาก 
เมื่อแห้งสนิทดีแล้วจึงเก็บในภาชนะบรรจุ
thaihof.org

: Users Online

หญ้าปักกิ่ง...สมุนไพรเทวดา

หญ้าปักกิ่งเป็นที่รู้กันว่ามีสรรพคุณเด่นกับโรคมะเร็ง 
ได้สมญาหญ้าเทวดา ที่มีสารสำคัญในการยับยั้งมะเร็งบางชนิดในหลอดทดลอง
กลายเป็นความหวังของผู้ป่วยมะเร็ง



แต่สำหรับคนทั่วไปอาจไม่คุ้นเคยว่า หญ้าปักกิ่ง มีรูปร่างหน้าตา แตกต่างจากหญ้าธรรมดาๆ เช่นไร 
วันนี้เราลองมาทำความรู้จักหญ้าปักกิ่งกันดูดีไหม  

ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Murdania loriformis (Hassk.) Rolla Rao et Kammathy 
ชื่อภาษาจีนว่า “เล้งจือเช่า” ฉายา หญ้าเทวดา
เป็น ไม้ล้มลุก สูงประมาณ 10 ซม. ใบ เดี่ยว เรียงสลับ ใบที่โคนต้นกว้างประมาณ 1.5 ซม. ยาว 10 ซม. ใบส่วนบนสั้นกว่าใบที่โคนต้น ดอก ช่อ ออกที่ปลายยอด รวมกันเป็นกระจุกแน่น ใบประดับย่อยค่อนข้างกลมซ้อนกัน สีเขียวอ่อน บางใส กลีบดอกสีฟ้าหรือม่วงอ่อน ร่วงง่าย ผลแห้ง แตกได้ ลักษณะคล้ายคลึงกับหญ้ามาเลเซีย   มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้ แถบสิบสองปันนา ในตำรายาจีนปรากฏชื่อพืชสกุลเดียวกันนี้ ใช้รักษาอาการเจ็บคอ และมะเร็ง


วิธีปลูกมี 2 วิธี วิธีแรก นำหญ้าปักกิ่งที่แยกมาจากต้นอื่นมาปักลงในดินที่เตรียมไว้ห่างกันประมาณ 1 คืบ หญ้าปักกิ่งชอบน้ำ แต่ต้องให้มีทางระบายออก ถ้าดินแฉะมีน้ำขัง รากจะเน่า

วิธีที่สองคือ ใช้เมล็ดปลูก โดยนำเมล็ดแก่มาขยี้ให้แตกแล้วโรยลงบนดินที่เตรียมไว้ประมาณ 12-15 วัน เมล็ดจะงอก หญ้าปักกิ่งที่ปลูกด้วยวิธีแยกต้นนำมาใช้เป็นยา ควรปลูกไม่ต่ำกว่า 3 เดือนขึ้นไป และ ถ้าวิธีเพาะเมล็ดต้องไม่ต่ำกว่า 5 เดือน หญ้าปักกิ่งชอบแดดรำไร
ไม่ควรโดนแดดจัดทั้งวัน หรือร่มมากเกินไป เพราะใบเหลือง
ควรรดน้ำวันละ 1 ครั้ง หน้าร้อนจะรดน้ำเพิ่มเป็น เช้า เย็น

หญ้าปักกิ่งถูกนำมาใช้รักษาโรคและบำรุงสุขภาพมานานในลักษณะของยาพื้นบ้าน
 เช่น ลดความดัน สะเก็ดเงิน ภูมิแพ้ แก้ไข้ ร้อนใน ริดสีดวงทวาร ฯลฯ

ดร. วิชุดา สุวิทยาวัฒน์ หัวหน้าสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
บอกว่า จากข้อมูลวิชาการมีงานวิจัยในหลอดทดลอง
รองรับสรรพคุณของหญ้าปักกิ่ง ว่ามีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ ต้านการอักเสบ
 และกระตุ้นเอนไซม์ dt-diaphorase 
ที่มีบทบาททำลายสารพิษที่ ก่อให้เกิดมะเร็ง 
แต่ยังเร็วเกินไปที่ระบุว่า มีฤทธิ์ต้านมะเร็งจนกว่ามีการทดลองในคน

แม้ว่าจะมีแนวโน้มว่า หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรที่รักษาโรคมะเร็งได้
แต่ กูรูสมุนไพร แนะนำว่า ควรรับประทานพอดี
เพราะหากดื่มหญ้าปักกิ่งทุกวันจะกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ดังนั้น วิธีรับประทานที่ดีควรรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน
ไม่ควรบริโภคนานเกินไป ซึ่งไม่เฉพาะแค่กับหญ้าปักกิ่งเท่านั้น
สมุนไพรทุกชนิดก็เช่นเดียวกัน หากรับประทานมากเกินไปจะกลายเป็นพิษได้

สำหรับคนปกติ ไม่ได้เป็นมะเร็ง "ไม่มี" ความจำเป็นต้องบริโภคหญ้าปักกิ่ง
แค่บริโภคอาหารที่ไม่เพิ่มโอกาส ความเสี่ยงเกิดโรคมะเร็ง
ด้วยการไม่บริโภคอาหารปิ้งๆ ย่างๆ
บริโภคเมนูอาหารที่สลับๆ กันไปจะเท่ากับเป็นการตัดโอกาสที่เป็นโรคมะเร็งได้
แล้ว รวมถึงคนไข้มะเร็งที่รับประทานยากดภูมิ ไม่แนะนำให้บริโภค
แนวทางรักษาที่ดีคือ ผู้ป่วยมะเร็ง
ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง
 ส่วนการบริโภคหญ้าปักกิ่ง น่าจะเป็นอีกทางเลือกทางหนึ่งของผู้ป่วยมะเร็ง ที่ต้องการรักษาแบบแพทย์ทางเลือก

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังมีการศึกษา ฤทธิ์การเพิ่มภูมิคุ้มกัน
ในคนของหญ้าปักกิ่งเพื่อพัฒนาขึ้นมาใช้เป็นยาหรืออาหารเสริมใช้กับผู้ที่เป็นมะเร็ง

ต้องอดใจรอกันไปก่อนนะคะ
 bangkokbiznews.com


สถาบันมะเร็งแห่งชาติให้ข้อมูลเรื่องหญ้าปักกิ่ง หรือหญ้าเทวดา หรือเล่งจือเฉ้า ว่า 
ชื่อวิทยาศาสตร์ Murdania loriformis (Hassk) Rolla Rao et Kammathy 
 วงศ์ Commelinaceae 
เป็นไม้ล้มลุก สูง 7-10 เซนติเมตร และอาจสูงได้ถึง 20 ซ.ม.

ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด 

รวมกันเป็น กระจุกแน่น กลีบดอกสีฟ้าปนม่วง 
ใบประดับกลม ร่วงง่าย ชอบดินร่วนหรือดินปนทราย 
มีแดดรำไร ไม่ต้องการน้ำมาก เพาะปลูกโดยการเพาะชำหรือเพาะเมล็ด 
ปลูกได้ง่ายและไม่จำเป็นต้องมีเนื้อที่มาก

ตำรายาจีนใช้หญ้าปักกิ่ง รักษาโรคในระบบทางเดินหายใจ และกำจัดพิษ 

โดยใช้ทั้งต้นหรือส่วนเหนือดิน (ลำต้นหรือใบ) ที่มีอายุ 3-4 เดือน (ตั้งแต่เริ่มออกดอก) 
สำหรับปัจจุบันจุดประสงค์ของการใช้หญ้าปักกิ่ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

1.การ ใช้ในผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น 

ลดความทุกข์ทรมาน บางรายมีอายุยืนยาวขึ้น 
และเพื่อช่วยลดอาการข้างเคียงของยาเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด

2.การ ใช้ในผู้ป่วยที่มีเม็ดเลือดขาวต่ำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด 

เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 
ส่วนผู้ป่วยเป็นแผลเรื้อรัง พบว่าแผลแห้ง ไม่มีหนองและน้ำเหลือง

ฤทธิ์ ทางเภสัชวิทยา สารกลัยโคสฟิงโกไลปิดส์ (จี1บี-G1b) 

แสดงฤทธิ์ยับยั้งปานกลางต่อเซลล์มะเร็งเต้านมและลำไส้ ใหญ่ 
โดยสารจี1บีแสดงผลปรับระบบภูมิคุ้มกัน 
และผลทางพยาธิวิทยาพบว่าสามารถลดความรุนแรงของการแพร่กระจายของมะเร็งในหนูได้ 
จึงคาดว่าสารสกัดดังกล่าวอาจใช้ป้องกันการเกิดมะเร็งได้

นอกจาก นี้สารสกัดหญ้าปักกิ่งมีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ของยีนที่เกิดจากสารก่อกลาย 

พันธุ์ชนิดต่างๆ และมีฤทธิ์เหนี่ยวนำเอนไซม์ DT-diaphorase 
ซึ่งมีบทบาททำลายสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง

วิธีใช้หญ้าปักกิ่งสด ดื่มน้ำคั้น 2 ช้อนโต๊ะ (30 มิลลิลิตร) เช้า-เย็นก่อนอาหาร 

ขนาดที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่ น้ำหนักตัวเฉลี่ย 60 กิโลกรัม 
 ถ้าเป็นเด็กลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง

วิธีเตรียม นำส่วนเหนือดินหรือทั้งต้น น้ำหนักประมาณ 100-120 กรัม 

หรือจำนวน 6 ต้น ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 
โขลกในครกที่สะอาดให้แหลก เติมน้ำสะอาด 4 ช้อนโต๊ะ (60 มิลลิลิตร) 
กรองผ่านผ้าขาวบาง ผลข้างเคียง ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น 0.5-1 องศาเซลเซียส 
หากใช้เกินขนาด จะมีผลกดระบบภูมิคุ้มกัน

ข้อควรคำนึง

1.หญ้าปักกิ่งเป็น สมุนไพรคลุมดิน อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากดินมาที่ต้นและใบ 

การนำหญ้าปักกิ่งมารับประทานสดต้องแน่ใจว่า
ได้ล้างหลายครั้งจนสะอาดปราศจาก เชื้อจุลินทรีย์ 
เพราะถ้าล้างไม่สะอาดเพียงพอ 
เมื่อดื่มน้ำคั้นสดก็จะเป็นการดื่มเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปในร่างกายผู้ป่วย 
ซึ่งย่อมมีภูมิต้านทานต่ำ จึงอาจเป็นอันตรายมากกว่าคนปกติ

2.หญ้าปักกิ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายหญ้าอื่นๆ หลายชนิด 

เช่น หญ้ามาเลเซีย ซึ่งไม่มีประโยชน์ทางยา

3.หญ้า ปักกิ่งที่มีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วย 

ต้องเป็นต้นที่มีอายุที่เหมาะสมดังนี้ 
 หญ้าปักกิ่งที่ปลูกโดยการชำกิ่ง ต้องมีอายุ 3 เดือนขึ้นไป 
ส่วนหญ้าปักกิ่งที่ปลุกด้วยการเพาะเมล็ด ต้องมีอายุมากกว่า 5 เดือนขึ้นไป

จากการศึกษาพบว่าหญ้าปักกิ่งที่มีอายุไม่ครบเวลาดังกล่าว 

จะไม่มีการสร้างสารจี 1 บี ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ทางยา

ดัง นั้นการซื้อหญ้าปักกิ่งมาบริโภค ต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งจริง 

เก็บเกี่ยวในขณะที่มีอายุครบเกณฑ์ที่กำหนดตามวิธีการเพาะชำนั้นๆ 
จึงจะได้คุณประโยชน์สูงสุดดังประสงค์ มิฉะนั้นก็จะเป็นการบริโภคหญ้าดังกล่าวที่สูญเปล่า 
ไม่ได้คุณสมบัติตามต้องการ และอาจจะได้รับพิษในกรณีเลือกสมุนไพรชนิดอื่นมาบริโภค
ปัจจุบัน องค์การเภสัชกรรมนำหญ้าปักกิ่งมาพัฒนาเป็นยาเม็ด โดยยาทุก 2 เม็ดมีคุณค่าเท่ากับหญ้าปักกิ่ง 3 ต้น ระยะเวลาใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร

khaosod.co.th

: Users Online

5.12.2556

ชี่กง ผสานกายใจ ให้พลังชีวิต


ชี่กง ผสานกายใจ ให้พลังชีวิต
     ชี่กง เป็นศาสตร์แห่งการรักษาสุขภาพของจีน ลักษณะคล้ายวิชาโยคะของอินเดีย
อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิชาลมปราณ หรือกำลังภายใน
     ชี่กง มาจากคำว่า 'ชี่' หมายถึงพลังชีวิต ซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนในรูปแบบที่แตกต่างกัน
เรารับเอาชี่จากภายนอกโดยการกินอาหาร รับแสงแดด การหายใจ เป็นต้น
'กง' คือการกระทำที่นำไปสู่พลังชีวิต ชี่กง จึงหมายถึงการฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนพลังชีวิตในร่างกาย
     ปรัชญา ทางการแพทย์จีนกล่าวถึงความสำคัญของสมดุลและการไหลเวียนของเลือด
เหมือนกับน้ำที่ต้องหมุนเวียนผลัดเปลี่ยน เส้นของพลังงานในร่างกายที่มองไม่เห็น
จะชักนำชี่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งชี่จะไปตามกระแสเลือด
การอุดตันของเส้นพลังงานจึงอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดและโรคภัยต่างๆ
ซึ่งรักษาได้ด้วยการฝังเข็ม (Acupuncture) การกดจุด(Acupressure) และชี่กง
     นพ.เทอดศักดิ์ เดชคง จิตแพทย์ประจำกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
ผู้ทำการศึกษาค้นคว้าและสอนการบริหารร่างกายแบบชี่กง อธิบายว่า
ชี่กงประกอบไปด้วยหลัก 3 ข้อ ได้แก่ หายใจ เคลื่อนไหว สมาธิ
 เนื่องจากกายกับจิตมีความสัมพันธ์กันอยู่แล้ว
เพียงแต่คนเรามักไม่ให้ความสนใจหรือให้ความสนใจแยกส่วนกัน
หลักของชี่กงตรงกับระบบการรักษาทางการแพทย์แบบองค์รวม (psychosocial)
ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตควบคู่ไปกับการรักษาทางกาย
ดังนั้นในการฝึกชี่กง กายคือการเคลื่อนไหว จิตคือภาวะสงบ
     นพ.เทอดศักดิ์ยืนยันว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีผลการวิจัยหลายชิ้นในต่างประเทศ
รวมทั้งมีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางวารสารทางการแพทย์ในประเทศจีน
พบว่าโรคที่ตอบสนองได้ดีกับการฝึกชี่กง คือโรคในกลุ่มที่เรียกว่า psychosomatic
ซึ่งก็คือโรคทางกายอันเนื่องมาจากจิตใจ เช่น ไมเกรน ความดันสูง ภูมิแพ้ ผื่นผิวหนัง
ลมพิษ ท้องเสียจากลำไส้ว่องไวเกิน (IBS) โรคหัวใจขาดเลือด
รวมถึงโรคหอบหืด

เหตุผลที่เป็นไปได้คือ
  1. ผลของจิตใจ จิตใจที่สงบสบายย่อมทำให้ร่างกายสมดุล เจ็บไข้ได้ยาก ที่ป่วยก็หายเร็วขึ้น
  2. ผลของสมาธิ สมาธิที่เกิดระหว่างการฝึกจะทำให้สมองปลอดโปร่ง ลดการทำงานของหัวใจ 
  3. ความดันเลือดลดลง เนื่องจากการขยายของหลอดเลือดฝอยผ่านระบบประสาทอัตโนมัติ
  4. ภูมิคุ้มกันที่ทำงานสมดุล พบว่าการฝึกตนเองจะทำให้มีการเพิ่มของเม็ดเลือดขาว 
  5. ผู้ที่แพ้อากาศมักมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
  6. ให้ระบบฮอร์โมนเกิดการสมดุล ตั้งแต่ต่อมใต้สมองไปจนถึงต่อมหมวกไต
  7. การออกกำลังกายพร้อมกันทั้งกายใจ ทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง
ชี่กง 4 ท่าง่ายฝึกได้ด้วยตัวคุณเอง
     ข้อดีของชี่กงคือสามารถฝึกท่าง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยดูจากหนังสือหรือวิดีโอแล้วฝึกตาม
 หรือเข้ากลุ่มฝึกตามสถานที่ที่มีการออกกำลังแบบชี่กง หากอยากเรียนรู้ให้ลึกซึ้ง
และได้ผลมากขึ้นก็สามารถไปเรียนกับผู้รู้หรือที่ เรียกว่าอาจารย์ตามสำนักฝึกต่างๆ ได้
ส่วนผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ที่ใช้ชี่กงในการบำบัดเสริมให้กับคนไข้เพื่อความปลอดภัย
     การฝึกชี่กงควรทำก่อนหรือหลังอาหารอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง ตอนเช้าเป็นเวลาดีที่สุด
สำหรับการฝึก ควรสวมเสื้อผ้าที่สบาย ยืดหยุ่นดี แต่ไม่ควรสวมรองเท้าเพราะจะทำให้ปวด
เนื่องจากประจุไฟฟ้าจะวิ่งผ่านไม่ได้และค้างอยู่ที่เท้า ไม่ควรฝึกในเวลาที่อารมณ์ไม่ดี โกรธ
หรือหงุดหงิด หากกำลังเครียดต้องฝึกหายใจจนความเครียดลดลงระดับหนึ่งก่อนจึงเริ่มฝึกชี่กงได้
ท่าที่ 1 ปรับลมปราณ
     วาง เท้าแยกกันด้วยความกว้างเสมอไหล่ ปรับเท้าชี้ตรงไปข้างหน้า วางมือทั้ง 2 ไว้ข้างลำตัว
ค่อยๆ หงายฝ่ามือแล้วยกขึ้นผ่านทรวงอกถึงระดับคาง หายใจเข้าช้าๆ
แล้วคว่ำฝ่ามือ ลดมือลงจนถึงระดับเอว ย่อเข่า จังหวะนี้หายใจออกช้าๆ

ท่าที่ 2 ยืดอกขยายทรวง
     จาก ท่าที่ 1 ซึ่งยังคงย่อเข่า ค่อยๆยกมือขึ้นและเคลื่อนช้าๆมาด้านหน้าจนถึงระดับอก
จึงค่อยๆ กางแขนออกไปจนสุดแขน หายใจเข้าช้าๆ ค่อยๆ ดึงมือกลับมาในทิศทางเดิม
ลดฝ่ามือลงแนบข้างลำตัว ย่อเข่า จังหวะนี้หายใจออกช้าๆ
ท่าที่ 3 อินทรีย์ทะยานฟ้า
     จากท่าที่ 2 กางแขนออกทางด้านข้าง เหยียดขาตรง กางแขนขึ้นเหนือศีรษะ หายใจเข้า
ลดแขนลงข้างลำตัว หายใจออก
ท่าที่ 4 ลมปราณซ่านกายา
     จาก ท่าที่ 3 ตวัดช้อนมือจากด้านข้าง เสมือนเอาพลังจากธรรมชาติเข้ามาในร่างกาย
หงายฝ่ามือยกขึ้นจนถึงระดับคางแล้วคว่ำฝ่ามือลง ลดฝ่ามือ จนถึงระดับเอว ย่อเข่า
(หากเป็นท่าจบ เมื่อลดฝ่ามือลงให้แขนแนบลำตัว ไม่ต้องย่อเข่า)
การวางจิตใจ ให้วางไว้ที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าทั้งสองข้าง
     สำหรับผู้เริ่มต้นฝึก ควรทำท่าที่ 1 ติดต่อกัน 5-10 นาที แล้วจึงทำท่าอื่นๆ
โดยใช้เวลารวมกัน 20-30 นาที วันละ 1-2 ครั้ง

จาก นิตยสาร Health&cuisine

การฝึกชี่กง
 เริ่มด้วย
“ท่าเตรียม” (ภาพ 1)  
1. หันฝ่ามือไปด้านหน้า (ภาพ 2)


      2) เลื่อนแขนไปด้านหน้า ทำมุม 45 องศากับลำตัว แล้วยกแขนขึ้น (หายใจเข้า) ไปยังเหนือศีรษะ(ภาพ 3)
     
       3) คว่ำฝ่ามือที่จุดสูงสุดเหนือศีรษะ ให้ปลายนิ้วมือทั้งสองข้างชี้เข้าหากัน (หายใจเข้าต่อ) แต่ไม่กระทบกัน (ภาพ 4)

      4) ค่อยๆ ลดมือทั้งสองข้างลงมาพร้อมๆ กัน (หายใจออก) ในท่าปลายนิ้วชี้เข้าหากัน ผ่านใบหน้า หน้าอก หน้าท้องลงไปเรื่อยๆ จนไปแยกออกจากกันที่ระดับหน้าท้องน้อย (ภาพ 5)
   
       ทำเช่นนี้ รวม 8 ครั้ง
       แล้วคืนสู่ท่าเตรียม (6)







ปัจจุบัน วิชาชี่กง DCP มีท่าฝึกรวม 6 ท่า คือ 1. สร้างฐานพลัง 2. ยืดตัว 3. หมุนตัว 4. เขย่าตัว 5. เชื่อมฟ้า และ 6. ถ่ายพลัง

ท่า ที่ 1 สร้างฐานพลัง เป็นท่าที่ผู้ฝึกฝนจะต้องฝึกฝนให้ดี เมื่อสร้างฐานพลังขึ้นมาแล้ว จะทำให้การฝึกท่าที่ 2-4 (ยืดตัว หมุนตัว เขย่าตัว)เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ร่างกาย ส่วนท่าที่ 5 เชื่อมฟ้า และท่าที่ 6 ถ่ายพลัง เป็นท่าเสริมความสมบูรณ์ให้แก่ระบบกำลังภายใน ซึ่งเมื่อการฝึกฝนจบสิ้นแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งกายทั้งใจ จะเปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์สุขอันสุนทรีย์ ทั้งอิ่มเอิบ ปีติ สดใส และกระปรี้กระเปร่าอยู่ในตัว

ในการฝึก ผู้ฝึกฝนสามารถทำการฝึกตามลำดับท่า ตั้งแต่ท่าที่ 1-6 ได้ด้วยตนเอง ในทันที โดยการดูภาพประกอบ ทั้งที่เป็นภาพลายเส้นในหนังสือ หรือภาพเคลื่อนไหวในวีซีดี (กำลังอยู่ในระหว่างการจัดทำ กำหนดนำออกเผยแพร่ในราวเดือนกรกฎาคม 2548)

หลักยึด 2 ประการ

ในการฝึกชี่กง DCP มีหลักยึดอยู่ 2 ประการ

ประการแรก การทำจิตคลาย-กายผ่อน

โดย การทำจิตใจและร่างกายให้ผ่อนคลาย ตามหลัก "ผ่อนคลาย สงบ เป็นธรรมชาติ" คือพาตัวเองเข้าสู่สภาวะ "เฉยๆ กลางๆ" หลุดหรือข้ามพ้นสภาวะการตรึงติดอยู่ในอารมณ์และความคิดใดๆอย่างสิ้นเชิง แล้วผ่อนลมหายใจยาว เบาๆ จนสุดปลายลม ซึ่ง ณ จุดปลายลมนั้น ให้ผู้ฝึกฝนสำนึกหรือบอกตนเองอยู่ภายในถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของ ตน (เทียนเหรินเหออี-ฟ้ากับคนเป็นหนึ่งเดียวกัน) ซึ่งเมื่อแตกออกไปให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็คือความเป็นหนึ่งเดียวของตัวเรากับ "ฟ้า-ดิน"

ในทันทีที่ทำเช่นนั้น จะเกิดการเชื่อมโยงกันเข้าระหว่างเรากับธรรมชาติในระดับ "ชี่" คือระดับกายละเอียด ในรูปของพลังงาน เรียกว่าพลังชี่

ในภาวะดังกล่าว ระบบพลังชี่ภายในหรือ "เน่ยชี่" จะเชื่อมโยงกับระบบพลังชี่ของธรรมชาติภายนอกหรือ "ไว่ชี่" อย่างแนบแน่นทางปลายนิ้วมือและปลายนิ้วเท้า
โดยเชื่อมเข้ากับพลังชี่ดินก่อน

ใน ขั้นนี้ จะเกิดการเคลื่อนตัวของประจุไฟฟ้าที่ปลายนิ้วหรือนิ้วมือ ฝ่ามือ อย่างคึกคักจนเรารู้สึกได้ นั่นหมายถึงว่า ตัวผู้ฝึกได้เข้าสู่สภาวะชี่กงแล้ว

ถัดจากนั้นจึงเริ่มหายใจเข้า ดึงพลังชี่ดินขึ้นไปเชื่อมพลังชี่ฟ้า ณ กลางศีรษะ การเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้า-ดิน (ธรรมชาติ) ก็สมบูรณ์ ตัวเรามีความเป็นบูรณาการกับธรรมชาติอย่างแท้จริง

ในสภาวะเช่นนี้ ระบบพลังชี่ในร่างกายจะขับเคลื่อนตัวเองอย่างคึกคักกว่าปกติ เนื่องจากมีพลังชี่ภายนอกเข้ามาร่วมขับเคลื่อนด้วย กลายเป็น "พลังชี่รวม" เคลื่อนไปตามระบบจิงลั่ว ขจัดสิ่งอุดตันตามจุดต้งเสวียต่างๆ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ระบบจิงลั่ว

นอกจากนี้ ในสภาวะชี่กง การทำงานของมันสมองซีกซ้ายซึ่งควบคุม "จิตรู้" จะเบาบางลง ตรงกันข้าม การทำงานของมันสมองซีกขวาซึ่งควบคุม "จิตเดิม" จะเข้มข้นขึ้น เกิดการไหลทะลักของข้อมูลและภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ จะทำให้ผู้ฝึกฝน "เข้าถึง" ความจริงแท้ของชีวิตในฐานะส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เกิดปัญญาตื่นรู้ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น

ดังนั้น การทำ "จิตคลาย-กายผ่อน" คลายปมที่มีอยู่ในจิตใจทั้งหมดออกมา ไม่ติดไม่ยึดอยู่กับเรื่องใดปัญหาใด ปล่อยวางอารมณ์และความคิดจิตใจลงจนหมดสิ้นในอึดใจที่บอกกับตนเองว่า "จิตคลาย-กายผ่อน" คือทำให้จิตใจและร่างกายผ่อนคลายอย่างเต็มที่ เข้าสู่ภาวะ "สบายๆ" จึงเป็นกุญแจดอกสำคัญของการเข้าสู่สภาวะชี่กง

หากไม่อยู่ในภาวะ "จิตคลาย-กายผ่อน" ก็ยากที่จะเข้าสู่สภาวะชี่กงได้

ขอ ย้ำอีกที การสำนึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของตน สามารถกระทำไปพร้อมๆ กับการผ่อนลมหายใจยาว เบาๆ ในขณะที่กำลังทำ "จิตคลาย-กายผ่อน"

"สำนึก" ที่ว่า จะปรากฏชัด ณ ปลายสุดของลมหายใจ และพลันก็จะบังเกิดความปีติ สดใส ดื่มด่ำยิ่งนักในความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของตนเอง

ในจังหวะนี้ เอง ที่พลังชี่ภายในกับพลังชี่ภายนอก (พลังชี่ดิน) ได้เชื่อมต่อกันเข้า พาผู้ฝึกฝนเข้าสู่สภาวะชี่กงเบื้องต้น และเมื่อหายใจเข้า ดึงพลังชี่ดินขึ้นไปเชื่อมกับพลังชี่ฟ้าเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำเราเข้าสู่สภาวะชี่กงเต็มที่

ในสภาวะชี่กง ผู้ฝึกฝนพร้อมอย่างยิ่งที่จะเสริมสร้างกุศลธรรมฉันทะขึ้นในจิตใจ

ประการที่สอง การเจริญภาวนากุศลธรรมฉันทะ

เมื่อ เข้าสู่สภาวะชี่กง พลังชี่รวมทำงานอย่างคึกคัก ขณะที่จิตใจจะอยู่ในภาวะนิ่ง สงบ อย่างยิ่งยวด เหมาะแก่การเจริญภาวนากุศลธรรมฉันทะเป็นอย่างยิ่ง

ใน ทางพุทธธรรมถือว่า กุศลธรรมฉันทะ เป็นจุดเริ่มของกระบวนธรรมของกฎแห่งกรรม (ดี) ของผู้ฝึกฝน เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่เจริญและเป็นสุข ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า


กุศลธรรมฉันทะ คืออะไร?

กุศลธรรมฉันทะ ก็คือความต้องการทำในสิ่งที่ดีงาม

ใน หนังสือ "พุทธธรรม" ฉบับปรับปรุงและขยายความ ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้อธิบายถึงความหมายของ "กุศลธรรมฉันทะ" ว่าเป็น "ฉันทะในกุศลธรรม คือความพอใจ ความชอบ ความอยากในสิ่งที่ดีงาม... คือต้องการทำให้สิ่งที่ดีงามเกิดมีขึ้น" (หน้า 493)

จากนี้ยังได้ อธิบายเพิ่มเติมว่า "ฉันทะนำไปสู่อุตสาหะ...พูดง่ายๆ ว่าฉันทะทำให้เกิดการกระทำ" และว่าฉันทะ "มีโยนิโสมนสิการเป็นสมุฏฐาน หมายความว่า ฉันทะเกิดจากโยนิโสมนสิการ(การคิดแยบคาย คิดถูกวิธี รู้จักคิด หรือคิดเป็น)..." (494) พร้อมกับสรุปความหมายรวบยอดของ "ฉันทะ" ไว้อย่างจะแจ้งว่า "คือภาวะจิตใจที่ยินดี พอใจ ตลอดจนต้องการให้เกิดมีความดำรงอยู่ด้วยดีของสิ่งทั้งหลายตามสภาวะที่ควรจะ เป็นจะมีของมัน...ความต้องการให้สิ่งทั้งหลายดำรงอยู่ในภาวะที่ดี ที่ถูกต้อง ที่งอกงาม ที่เรียบร้อย ที่สุขสมบูรณ์ของมัน หรือให้ภาวะที่ดี ที่ถูกต้อง สมบูรณ์อย่างนั้นเกิดมีเป็นจริงขึ้น"..."ในภาวะจิตเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องมีความอยากเสพเสวยสุขเวทนาหรือความนึกคิดผูกพันกับตัวตนเข้าไป เกี่ยวข้องด้วยเลย นับว่าเป็นกระบวนแห่งกุศลธรรมบริสุทธิ์หรือล้วนๆ" พร้อมกับเสริมในตอนท้ายว่า "กระบวนธรรมเช่นนี้ไม่เกิดขึ้นเองลอยๆ แต่จะต้องมีความคิดหรือความรู้ความเข้าใจเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะกระแสที่จะไหลเรื่อยไปโดยไม่ต้องใช้ความคิด ก็คือกระแสอวิชชา-ตัณหา" (510)

การเจริญภาวนา "กุศลธรรมฉันทะ" จะค่อยๆชักนำจิตใจของผู้ฝึกให้พัฒนาไปในทางสร้างสรรค์ เกิดแนวคิดและความต้องการที่จะทำในสิ่งดีๆอยู่เป็นนิตย์ อันเป็นจิตใจของผู้ที่เจริญ

คนเราเมื่อคิดไปในทางดี มีจิตเป็นกุศล การกระทำที่ตามมา ทั้งทางการพูดการจา และการประพฤติปฏิบัติ ก็จะเต็มไปด้วยเหตุผลและอารมณ์อันสุนทรีย์ เป็นที่ยินดีของผู้ได้ฟังได้เห็น เป็นที่รับได้ของผู้ที่ทำงานร่วมกัน เป็นบุคคลทรงคุณค่าในแวดวงอาชีพการงาน เป็นที่รักใคร่ของญาติมิตรใกล้ไกล



สรุปคือ จะมีบุคลิกที่น่าเชื่อถือ น่าคบค้าสมาคม และมี "เสน่ห์"

มอง ในหลัก "กฎแห่งกรรม" เมื่อคนเราคิดดี พูดดี ทำดี ไปเรื่อยๆ ผลกรรมหรือสิ่งที่เป็นผลจากการปฏิบัติ ก็ย่อมจะเป็นสิ่งดีมากกว่าสิ่งร้าย ยิ่งคิดดี พูดดี ทำดี "ถักทอต่อเชื่อม" ไปเรื่อยๆ ก็ย่อมจะเกิดผลดีตามมาเรื่อยๆ และอย่างเป็นทวีคูณ
นั่นคือ กระบวนดังกล่าวเมื่อดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง พลันก็จะปรากฏเป็น "โอกาส" ในรูปแบบต่างๆ วิ่งมาหาเรา โดยที่เราไม่ต้องวิ่งไปไล่หาไล่จับ เมื่อนั้น ชีวิตเราก็จะก้าวเข้าสู่ระยะราบรื่น ไม่ต้องว่ายทวนกระแสชีวิตให้เหน็ดเหนื่อยอีกต่อไป

ชีวิตที่ราบรื่น คึกคัก และเป็นสุข ก็จะเป็นของเรา และเป็นเช่นนั้นตลอดไป

โดยทั้งหมดนั้น เริ่มต้นได้ตั้งแต่การเจริญภาวนากุศลธรรมฉันทะในระหว่างการฝึกฝนชี่กง DCP

หลักยึดสองประการนี้ คือกุญแจไขประตูไปสู่ชีวิตที่เข้มแข็ง ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ


หลักปฏิบัติเบื้องต้นในการฝึก ชี่กง DCP

ชี่ กง DCP เป็นชี่กงท่ายืน การฝึกฝนตั้งแต่ท่าที่ 1-6 จะเริ่มด้วยการยืนใน "ท่าเตรียม" คือในท่าสบายๆ วางเท้าซ้าย-ขวาคู่ขนานกัน (เป็นเลข "11") ห่างกันเสมอไหล่ (ดูรูป) ทุกครั้งไป

หลังจากนั้นจึงทำ "จิตคลาย-กายผ่อน" ให้พร้อมสำหรับการฝึกในท่าต่างๆ

ขอให้ทุกท่านเริ่มต้นด้วย "ท่าเตรียม" นี้เสมอ

ถึงตรงนี้ เชื่อว่าท่านผู้อ่านพร้อมแล้วที่จะเริ่มทำการฝึกฝนชี่กง DCP

ขอเชิญเลยครับ

ท่าที่ 1. สร้างฐานพลัง

ท่านี้แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน

ขั้น แรก เป็นการเชื่อมโยงพลังชี่ภายใน (เน่ยชี่) กับพลังชี่ภายนอก (ไว่ชี่) ให้เกิดพลังชี่รวมขับเคลื่อนในตัวตน นำผู้ฝึกฝนเข้าสู่สภาวะชี่กง

ขั้น ที่สอง เป็นการบริหารพลังชี่รวมให้แข็งแกร่งเหนียวแน่น เกิดการขับเคลื่อนอย่างเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันของพลังชี่ไปทั้งตัว แล้วลำเลียงพลังทั้งหมดไปเก็บไว้ที่ทุ่งพลังหรือตันเถียนล่าง (ท้องน้อยใต้สะดือ) อันเป็นฐานพลังชี่รวมของร่างกาย สำหรับรองรับการฝึกฝนร่างกายต่อไป (รวม 3 ท่าด้วยกัน ได้แก่ ท่ายืดตัว ท่าหมุนตัว และท่าเขย่าตัว) ซึ่งจะทำให้ร่างกายแข็งแกร่งสมบูรณ์ทั้งในระดับกายหยาบและกายละเอียด


ขั้นตอนการฝึก (ดูภาพประกอบ)

1) เริ่มด้วย "ท่าเตรียม" แล้วทำ "จิตคลาย-กายผ่อน" พร้อมกับผ่อนลมหายใจเบาๆ ยาวๆ จนกระทั่งสุดปลายลม ซึ่ง ณ จุดปลายลมนั้น ให้ผู้ฝึกฝนสำนึกหรือบอกตนเองอยู่ภายในถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของ ตน (เทียนเหรินเหออี)

เพื่อนำไปสู่การเชื่อมโยงกันเข้าระหว่างเรากับ ธรรมชาติในระดับ "ชี่" คือระดับกายละเอียด ในรูปของพลังงาน เรียกว่าพลังชี่ ให้ระบบพลังชี่ภายในหรือ "เน่ยชี่" เชื่อมโยงกับระบบพลังชี่ของธรรมชาติภายนอก (ในขั้นนี้คือการเชื่อมเข้ากับพลังชี่ดิน) หรือ "ไว่ชี่" อย่างแนบแน่นทางปลายนิ้วมือและปลายนิ้วเท้า เข้าสู่สภาวะชี่กง
ในท่านี้ ผู้ที่ทำจิตคลาย-กายผ่อน สำนึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติได้ดี มักจะเข้าสู่สภาวะชี่กงได้เร็ว โดยจะรู้สึกมีประจุไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบที่ปลายนิ้วมือและเท้าทั้งสองข้าง เกิดความรู้สึกชาๆ ที่ฝ่ามือหรือกระทั่งลำแขนทั้งสองข้างในทันทีที่ผ่อนลมหายใจไปจนสุดปลายลม

กระนั้น สำหรับผู้ฝึกฝนใหม่ ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าจะเกิดอะไรกับตนเอง ขอให้ตั้งสมาธิฝึกฝนไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว

นั่นคือ ไม่ต้องคาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำ "จิตคลาย-กายผ่อน" ผ่อนลมหายใจเบาๆ ยาวๆ ไปเรื่อยๆ

อีก นัยหนึ่ง ตั้งใจฝึกฝนอย่างแน่วแน่ แต่ไม่เกร็งไม่เครียด ไม่คาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้น ประคับประคองตนเองอยู่ในสภาวะ "จิตคลาย-กายผ่อน" อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ให้การฝึกฝนดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

2) หายใจเข้าลึกๆ ยาวๆ พร้อมกับสำนึกว่าได้ดึงพลังชี่จากพื้นดินขึ้นสู่ร่างกาย เลื่อนพลังชี่ขึ้นสู่ส่วนบนของร่างกายไปเรื่อยๆจนเต็มร่างและไปเชื่อมกับ พลังชี่ของฟ้าที่กลางศีรษะ

3) ชั่วอึดใจหนึ่ง จึงเริ่มผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ยาวๆ ในภาวะที่พลังชี่ในกายทั้งหมดค่อยๆเลื่อนลงสู่เบื้องล่าง ผ่านปลายมือและปลายเท้าลงสู่ดิน

การหายใจเข้า-ออก หนึ่งรอบ หมายถึงว่าเราได้ดึงพลังชี่ในดินขึ้นไปเชื่อมพลังชี่บนฟ้า และขับพลังชี่บนฟ้าลงไปเชื่อมพลังชี่ในดิน ซึ่งจะส่งผลให้พลังชี่ภายใน (เน่ยชี่) กับพลังชี่ภายนอก (ไว่ชี่) รวมตัวกันเข้าได้ดี เป็นกระบวนการเชื่อมโยงกันเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันของตัวเรากับธรรมชาติ

อีกนัยหนึ่ง เป็นการเชื่อมโยงกันเข้าของ "ฟ้า-คน-ดิน" (หรือ "เทียน-เหริน-ตี้" ในภาษาจีนกลาง)


"คน" ซึ่งก็คือตัวเรา เป็นผู้เชื่อมโยงฟ้ากับดินเข้าด้วยกัน ด้วยการดึงพลังดินขึ้นมาเชื่อมพลังฟ้า และดันพลังฟ้าลงไปเชื่อมพลังดิน ตัวเราก็อยู่ในท่ามกลางและเป็นหนึ่งเดียวกับพลังฟ้าพลังดิน ระบบพลังชี่ในกายของเราก็เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวระบบพลังชี่ของฟ้าและดิน

จงทำการหายใจเข้า-ออกเช่นนี้ 3 ครั้ง

4) งอแขนขึ้น หันฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหากัน และห่างกันพอประมาณ (ราว 10-20 ซ.ม.) ผู้ที่เข้าสู่สภาวะชี่กงแล้วจะรู้สึกถึงแรงดึงดูดของพลังชี่ระหว่างฝ่ามือ ทั้งสองข้าง

5) ดึงมือแยกห่างออกจากกัน จนกว้างเสมอไหล่ พร้อมกับหายใจเข้า แล้วหดมือเข้าหากัน มาอยู่ในท่าเดิม พร้อมกับหายใจออก (ดึงออก-หายใจเข้า หดเข้า-หายใจออก)

ทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่องจนครบ 8 ครั้ง

6) ปรับมือทั้งสองข้าง ให้มือซ้ายหงายลงไปอยู่ด้านล่าง มือขวาคว่ำอยู่ด้านบน ทิ้งระยะห่างกันเล็กน้อย แล้วหมุนมือขวา (และซ้ายตาม) เป็นวงกลม ตามการเดินของเข็มนาฬิกา เมื่อครบ 8 รอบแล้วหมุนมือกลับ ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาจนครบ 8 รอบ

7) พลิกมือซ้ายขึ้นมาอยู่ด้านบน ฝ่ามือคว่ำ พร้อมกับพลิกมือขวาลงไปอยู่ด้านล่าง ฝ่ามือหงาย ทิ้งระยะห่างเล็กน้อย แล้วหมุนมือซ้าย (และขวาตาม)เป็นวงกลม ตามเข็มนาฬิกา จนครบ 8 รอบ แล้วหมุนกลับ ทวนเข็มนาฬิกา จนครบ 8 รอบ

8) ลดฝ่ามือทั้งสองลงมาที่หน้าท้องน้อย หันฝ่ามือเข้าหาท้องน้อย สำนึกว่ากำลังลำเลียงพลังชี่ทั้งหมดไปเก็บไว้ในทุ่งพลังหรือตันเถียนล่าง

ยืนนิ่งอยู่ในท่านี้ราว 1 นาที แล้วลดมือทั้งสองลง คืนสู่ท่าเตรียม

เมื่อ ถึงตรงนี้ ร่างกายของผู้ฝึกฝนก็ได้เข้าสู่สภาวะชี่กงในระดับลึก ระบบพลังชี่ในกายแข็งแกร่งสมบูรณ์ที่สุด พร้อมอย่างยิ่งสำหรับการฝึกฝนร่างกาย (รวม 3 ท่าด้วยกัน คือ ท่ายืดตัว ท่าหมุนตัว และท่าเขย่าตัว)
ท่าที่ 2 ยืดตัว
   
      (ดูภาพประกอบ รวม 7 ภาพ)
      เริ่มด้วย "ท่าเตรียม" (ภาพ 1)
      1) หายใจเข้า ยาวๆ ลึกๆ พร้อมกับยืดศีรษะ ยืดตัว เขย่งเท้า ยกไหล่/หมุนไหล่ไปด้านหลังพร้อมๆ กันทั้งสองข้าง (ภาพ 2, 3)
      2) ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก ช้าๆ พร้อมกับย่อตัวลง มือทั้งสองห้อยอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ จนกระทั่งใกล้แตะพื้น (ภาพ 4, 5)
      3) ค่อยๆ หายใจเข้า และยืดตัวขึ้นช้าๆ เริ่มต้นการยืดตัวรอบสอง (ภาพ 6)

      ทำเช่นนี้ รวม 6 รอบ แล้วคืนสู่ท่าเตรียม (ภาพ 7)ท่าที่ 3 หมุนตัว
   
      (ดูภาพประกอบ รวม 4 ภาพ)
      ท่าหมุนตัวมี 2 ท่า คือ 3.1 หมุนหน้า และ 3.2 หมุนหลัง
      3.1 หมุนหน้า
      เริ่มต้นด้วย "ท่าเตรียม" (ภาพ 1)
      1) ใช้กำลังภายในดันไหล่ซ้ายและขวาสลับกันหมุนไปข้างหน้า ในลักษณะคล้ายกับการว่ายน้ำในท่าฟรีสไตล์ โดยพยายามควบคุมให้ไหล่หมุนเท่านั้น ไม่ยกมือหรือแขนขึ้น ปล่อยให้มือและแขนเคลื่อนตามการหมุนของไหล่ไปเรื่อยๆ (ภาพ 2, 3)      ทำเช่นนี้ รวม 8 รอบ แล้วคืนสู่ท่าเตรียม (ภาพ 4)

      3.2 หมุนหลัง
      เริ่มด้วย "ท่าเตรียม" (ภาพ 1)
      1) ใช้กำลังภายในดันไหล่ซ้ายและขวาสลับกันไปทางด้านหลัง ในลักษณะคล้ายกับการว่ายน้ำในท่ากรรเชียง (ภาพ 2, 3 แต่เคลื่อนไปในทิศทางที่สวนทางกัน)      ทำเช่นนี้ รวม 8 รอบ แล้วคืนสู่ท่าเตรียม (ภาพ 4)
  
       (ดูภาพประกอบ รวม 3 ภาพ)

 
ท่าที่ 4 เขย่าตัว
       เริ่มด้วย "ท่าเตรียม" (ภาพ 1)
       1) เขย่าตัวขึ้นลงสั้นๆ ช้าๆ มือทั้งสองข้างห้อยอยู่ข้างกาย ปลายนิ้วมือไม่กระดก ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง รวม 24-28 ครั้ง (ภาพ 2, 3)
       2) เขย่าตัวขึ้นลงแรงและเร็วขึ้น จนกระทั่งปลายนิ้วมือทั้งสองข้างกระดกขึ้นมาเอง รักษาความเร็วและความแรงในระดับนี้ไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง รวม 80-100 ครั้ง
       3) ค่อยๆ ลดความเร็วและความแรงลง เขย่าตัวขึ้นลงสั้นๆ ช้าๆ อีกราว 24-28 ครั้ง
       แล้วคืนสู่ท่าเตรียม
  
       (ดูภาพประกอบ รวม 8 ภาพ)

 
ท่าที่ 5 เชื่อมฟ้า
       เริ่มด้วย "ท่าเตรียม" (ภาพ 1)
       1) กางแขนขึ้น (หายใจเข้า) ฝ่ามือคว่ำ (ภาพ 2)
       2) ย่อตัวลง (หายใจเข้าต่อ) ถึงระดับงอเข่าเป็นมุมฉาก (ภาพ 3)
       3) ยืดตัวขึ้น (หายใจออก) เหยียดแขน ฝ่ามือตั้ง หันฝ่ามือออก (ภาพ 4)
       4) ปรับฝ่ามือหงาย (หายใจเข้า) ผ่อนคลายลำแขน แล้วเคลื่อนมือไปด้านข้าง ให้ลำแขนทำมุม 45 องศากับลำตัว แล้วยกแขนขึ้นไปยังเหนือศีรษะ (ภาพ 5)
       5) จนกระทั่งฝ่ามือประกบกันเข้า ณ จุดสูงสุดเหนือศีรษะ(หายใจเข้าต่อ) พร้อมกับเขย่งเท้าขึ้น (ภาพ 6)
       6) ค่อยๆ ลดมือที่พนมลงมาเรื่อยๆ (หายใจออก) ผ่านหน้า หน้าอก ท้องค่อยๆหมุนมือที่พนมให้ปลายมือชี้ลง ไปจนถึงหน้าท้องน้อย (ภาพ 7, 8) แล้วจึงแยกมือออกจากกัน คืนสู่ท่าเตรียม
       ทำเช่นนี้ รวม 4 ครั้ง         ที่มาจาก wunjun.com


   
      





: Users Online